หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ในหลวงของไทยครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ 1 ของประเทศ

ในหลวงของไทยครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ 1 ของประเทศ




โดย กงจักร ปีศาจ


ในหลวงของไทยครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ 1 ของประเทศ

นายวิลเลียม เมลเลอร์ ( William Mellor) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) กล่าวว่าในหลวงของไทยครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ 1 ของประเทศและพบว่าการถือครองสิริราชย์สมบัติผ่านทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวสองแสนล้านบาท ซึ่งเรืองนี้นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนใดๆในประเทศไทย พระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดกว่า 30% ในหุ้นเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีพนักงานในเครือกว่า 24,000 คน ผลิตสินค้านับตั้งแต่เคมีภัณฑ์ ไปยันวัสดุก่อสร้างสารพัด ส่วนหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 3 ของไทย และในหลวงทรงถือหุ้นอยู่ 21% ส่วนเทเวศน์ประกันภัย ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินฯถืออยู่ 87% หากนับหุ้นที่ถือผ่านสำนักงานทรัพย์สินฯแล้ว ก็จะคิดเป็น 7.5%ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทย

นักลงทุนซึ่งตกใจกลัวจากเหตุการณ์รัฐประหารก็กำลังเฝ้าจังหวะที่จะกลับมาช้อนซื้อหุ้นไทยอยู่ แต่ระหว่างนั้นก็เข้าไปลงทุนในหุ้นที่ในหลวงทรงถือหุ้นใหญ่อยู่ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงอยู่ในพระราชบัลลังก์มาอย่างมั่นคงกว่า 61 ปี แล้ว ก็นับว่าเป็นหุ้นที่ปลอดภัยที่สุดของประเทศไทย รวมทั้งเป็นประเทศเกษตรและอุตสาหกรรมที่มีความน่าเชื่อถือ โดยเป็นทั้งประเทศที่ส่งออกข้าวใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นศูนย์หกลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน

ตามตัวเลขเดิมนั้น กษัตริย์มีที่นาที่ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครปฐม เพชรบุรี สระบุรี นครนายก อยุธยา ปทุมธานี ตามที่รัฐบาลเปิดเผย 53,683 ไร่ โดยแจกเอกสารสิทธิการเช่าที่ดินแก่ราษฎร 43,143ไร่ ส่วนที่ดินในกรุงเทพฯนั้นกษัตริย์มีที่ดินอยู่เกือบครึ่งเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณศูนย์ การค้า เช่น ท่าพระจันทร์ สองข้างถนนราชดำเนิน นางเลิ้ง หัวลำโพง ราชเทวี ประตูน้ำ สำเพ็ง ราชวงศ์ เยาวราช สีลม สี่พระยา บางรัก วงเวียนใหญ่

และที่สำคัญคือเป็นเจ้าของที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสนามม้าหลายร้อยไร่ แหล่งการพนันที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ กษัตริย์จะได้ค่าเช่าจากสนามม้า ปีละมหาศาล และที่แน่ๆ ก็คือทรงสนับสนุนการแข่งม้า มีการประทานถ้วยให้ม้าแข่งชนะเลิศ

นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายขวาของ TDRI มองว่าค่าแรง300บาท "สูงเกินไป"!?!

นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายขวาของ TDRI มองว่าค่าแรง300บาท "สูงเกินไป"!?!



 
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์


ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) วิจารณ์การขึ้นค่าแรง 300 บาทในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยโกหกตอแหลและใช้เศรษฐศาสตร์ข้างถนน

หมูอ้วนตัวนี้ กินเงินเดือนสูงเป็นหมื่นๆ แต่มองว่าคนงานไม่ควรได้รับ 300 บาทต่อวันภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พูดง่ายๆ คือ “กูเงินเดือนสูงได้ แต่พวกมึงควรจะกินค่าแรงต่ำ”

ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ อ้างว่าหลังขึ้นเงินค่าแรงเป็น 300 บาท คนงานยากจนลงเพราะสินค้าแพงขึ้น ดังนั้น “ไม่ควรขึ้นเงินค่าแรงแต่แรก”

ในประการแรกถ้าการขึ้นค่าแรงถึง 300 บาทในบางจังหวัด ไม่พอใช้สำหรับคนงาน ก็ควรขึ้นอีกเป็น 500 บาท และขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ไปยกข้อแก้ตัวในการกดค่าแรงให้คณะทหารเถื่อนใช้ในอนาคต

ในประการที่สอง ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ อ้างว่าการที่คนงานยากจนลง เพราะพ่อค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า แต่มันฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าพ่อค้าขึ้นราคาสินค้าจนคนงานซื้อไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ และรัฐบาลประชาธิปไตยสามารถมีมาตรการในการควบคุมราคาสินค้าพื้นฐานได้ ถ้าอยากทำ ซึ่งการควบคุมราคาสินค้าโดยรัฐ หรือการประกันราคาข้าวโดยรัฐ เป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์คลั่งกลไกตลาดที่ TDRI เกลียดชังอย่างถึงที่สุด

ในประการที่สาม พวกคลั่งกลไกตลาด “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” หรือที่เรียกกันว่าแนว “เสรีนิยมใหม่” มักอ้างว่าการขึ้นค่าแรงทำให้ราคาการผลิตเพิ่ม แล้วสินค้าจะแพงขึ้นตาม แต่ในไทยค่าแรงเป็นสัดส่วนเล็กน้อยของต้นทุนการผลิต และถ้านายทุนไม่คอยปกป้องกำไรตนเองที่ขโมยจากแรงงานแต่แรก นายทุนก็ไม่ต้องขึ้นราคาสินค้าเลย

ในประการที่สี่ สังคมที่อารยะ และเคารพพลเมืองทุกคน ต้องสร้างมาตรฐานค่าแรงที่เพียงพอสำหรับชีวิตที่ดีสำหรับทุกคน ไม่ใช่มาเอาทฤษฏีข้างถนนมาแก้ตัวแทนความเหลื่อมล้ำ

นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายขวาแบบนี้ทั่วโลก มีอคติกับการอยู่ดีกินดีของแรงงานเสมอ เพราะพวกมันเป็นนักวิชาการที่รับใช้ผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน แต่สถาบันการศึกษาไทย และแม้แต่ “ประชาไท” ก็ไม่เคยเข้าใจหรือสนใจจะเข้าใจประเด็นนี้เลย ชอบอ้างงานวิจัย TDRI เหมือนเป็นการวิจัย “วิทยาศาสตร์”
คาร์ล มาร์คซ์ วิเคราะห์มานานแล้วว่า “มูลค่าทั้งปวงในโลก มาจากการทำงานของมนุษย์ในการดัดแปลงทรัพยากรธรรมชาติ” และนายทุนเพียงแต่เป็นกาฝากที่ขโมยส่วนแบ่งของมูลค่านั้นไป โดยการกอบโกยกำไรและจ่ายค่าจ้างต่ำ

ในโลกจริงคนงานไทยไม่เคยได้รับค่าแรงเพียงพอ ในขณะที่คนชั้นสูง รวมถึงนักวิชาการขยะอย่าง ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ก็สุขสบายกับเงินเดือนสูงเสมอ

(ที่มา)
http://turnleftthai.wordpress.com/2014/07/10/

ถอดบทเรียนการต่อสู้ จากการปฏิวัติฝรั่งเศส และนโยบายที่ผิดพลาดของเพื่อไทย [2]

ถอดบทเรียนการต่อสู้ จากการปฏิวัติฝรั่งเศส และนโยบายที่ผิดพลาดของเพื่อไทย [2]



 
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลกับข้อเสนอปฏิวัติการเมืองไทย ในงาน 224 ปี ทลายคุกบาสตีล(1)

โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล


ทุกการปฏิวัติมันมีความซับซ้อน มันไม่จบภายในครั้งเดียว
การ ปฏิวัติฝรั่งเศส เกิด 2312 สมัย ร.1 คศ.1789 ก่อนที่จะเกิดมันเกิดการปฏิวัติสำคัญอยู่ 3 อันคือ ปี 1572 มีการปฏิวัติชาวดัซ์ ศตวรรษต่อมาเกิดการปฏิวัติของอังกฤษ ปี 1640 และ ศตวรรษที่ 18 มีการปฏิวัติอเมริกัน และการปฏิวัติฝรั่งเศส การปฏิวัติ 4 อันนี้ ในโลกวิชาการเรียกคราวๆว่าการปฏิวัติ “กระฏุมพี” (bourgeoisie) หรือ ชนชั้นกลาง เป็นการปฏิวัติชนชั้นกลางที่เป็นลูกโซ่ติดกันมา การการปฏิวัติฝรั่งเศสมันส่งผลสะเทือนทั่วยุโรป และอเมริกากลาง ในไฮติ มีการโค่นอำนาจของนายทาสโดยทาสแล้วประกาศตั้งสาธารณรัฐ และหลังจากนั้นตลอด ศตวรรษที่ 19 มีกระแสปฏิวัติทั่วยุโรป จนปลายศตวรรษที่ 19 มีการปฏิวัติใหญ่ๆ 4 อัน คือในอิตาลี เยอรมันนี ปฏิวัติเลิกทาสในอเมริกา และการปฏิวัติเมจิที่ญี่ปุ่น

ปัญหาคือ เมื่อกล่าวถึงการการปฏิวัติรวมๆ คร่าวๆ เราก็บอกว่าเป็นปฏิวัติที่นำมาซึ่งประชาธิปไตยสมัยใหม่ นำมาซึ่งการปกครองของชนชั้นกลาง และการสถาปนาระบอบทุนนิยม ในระยะ 40-50 ปีหลัง หากศึกษาการปฏิวัติพวกนี้อย่างละเอียด นักวิชาการมองว่ามันมีความซับซ้อนว่านั้นเยอะ พวกทำการปฏิวัติในฝรั่งเศส นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียดมองว่า เราสรุปไม่ได้ว่าพวกทำการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นชนชั้นกลาง หลายคนเจ้าที่ดินเป็นศักดินาด้วยซ้ำ การปฏิวัติทุกอันมันไม่จบในม้วนเดียว

ทุก การปฏิวัติมันมีความซับซ้อน มันไม่จบภายในครั้งเดียวหรือไม่กี่ปี กว่าที่ฝรั่งเศสจะมีระบอบรัฐสภาที่มันคง เป็นสาธารณะรัฐที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงไปมา ฝรั่งเศสตั้งสาธารณะรัฐมาถึง 5 ครั้ง ครั้งที่ 5 พึ่งตั้งปี 2501 นี่เอง ที่ทุกวันนี้เราเห็นมันยุ่งยาก ก็ต้องทำใจ เพราะฝรั่งเขาก็ผ่านอย่างนี้เช่นกัน

ผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ในฝรั่งเศส-อินเดีย ประท้วงการโจมตีพลเรือนของอิสราเอล

ผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ในฝรั่งเศส-อินเดีย ประท้วงการโจมตีพลเรือนของอิสราเอล

 
Israel-Gaza conflict: Synagogues attacked as pro-Palestinian protest in Paris turns violent
กองทัพอิสราเอลยังคงปฏิบัติการโจมตีพื้นที่ฉนวนกาซ่าติดต่อกันเป็นวันที่ 7 โดยมีผู้ลี้ภัยในศูนย์บรรเทาทุกข์ของยูเอ็นแล้วกว่า 17,000 คน ในฝรั่งเศสและอินเดียมีผู้ชุมนุมต่อต้านการใช้อาวุธโจมตีใส่เป้าหมายพลเรือน ของอิสราเอล แต่ก็มีเหตุรุนแรงเล็กน้อยหลังมีผู้ประท้วงส่วนหนึ่งบุกโจมตีสุเหร่าของชาว ยิวในฝรั่งเศส

14 ก.ค. 2557 สำนักข่าวอัลจาซีรารายงานว่ากองทัพอิสราเอลได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและ ใช้ปืนใหญ่ยิงใส่พื้นที่ฉนวนกาซ่าติดต่อกันเป็นวันที่ 7 แล้ว มีผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าเครื่องบินของอิสราเอลได้โจมตีเป้าหมายเป็นแหล่ง ฝึกซ้อมของกองกำลังติดอาวุธฮามาสได้ 3 แห่ง ในวันจันทร์ แต่ก็ยังมีการโจมตีอาคารในเมืองทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างไม่ทราบ จำนวน

เหตุการณ์รุนแรงล่าสุดทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้ว 172 คน บาดเจ็บ 1,230 คน หน่วยงานบรรเทาทุกข์ของสหประชาชาติระบุว่ามีผู้ลี้ภัยเข้ามาอาศัยในสถานลี้ ภัยของพวกเขาแล้ว 17,000 คน ทางด้านศูนย์สิทธิมนุษยชนของปาเลสไตน์ระบุว่าในจำนวนผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ มากกว่า 130 คนเป็นพลเรือนธรรมดา มีเด็ก 35 คน และผู้หญิง 26 คน มีบ้านเรือน 147 หลังคาเรือนถูกทำลายและอีกหลายร้อยหลังคาเรือนได้รับความเสียหาย