หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

May Day 2012: นายทุนย้ายฐานการผลิตจากไทยได้ง่ายแค่ไหน?

May Day 2012: นายทุนย้ายฐานการผลิตจากไทยได้ง่ายแค่ไหน?

 

 

ข้อมูลจริงจากโลกพิสูจน์ว่าค่าแรงที่สูงกว่าในตะวันตก ที่มาจากการต่อสู้ของสหภาพแรงงาน โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ทำให้บริษัทส่วนใหญ่ย้ายฐานการผลิตแต่อย่างใด และการมีแรงงานฝีมือสูง และระบบสวัสดิการและสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

โดย กองบรรณาธิการ เลี้ยวซ้าย

นายทุน นักวิชาการฝ่ายทุน และนักการเมืองชอบขู่นักสหภาพแรงงานว่า ถ้าเราเรียกร้องค่าจ้าง หรือสวัสดิการ
“สูงเกินไป” นายทุนจะย้ายฐานการผลิตไปที่พม่า ลาว เวียดนาม บังกลาเทศ จีน หรือเขมร ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเมื่อเราพิจารณาการเรียกร้องให้รัฐบาลปรับค่า จ้างขั้นต่ำให้สูงขึ้นถึง 300 บาทต่อวัน หรือ 500 บาทต่อวัน ซึ่งเป็นระดับค่าจ้างที่ทุกคนในประเทศไทยควรจะได้รับเพื่อความพอเพียง

แต่ แม้แต่ 500 บาทต่อวันก็ไม่พอที่จะให้เรามีวิถีชีวิตที่สบายเท่าไร โดยเฉพาะในกรณีที่เราต้องเลี้ยงครอบครัว และที่น่าสังเกตคือ ฝ่ายนายทุน นักวิชาการ และนักการเมืองเหล่านั้นไม่มีวันพอใจที่จะรับแค่ 500 บาทต่อวัน

สำหรับ นักสังคมนิยมเรามีหลายประเด็นที่สามารถยกขึ้นมาเสนอในเรื่องค่าจ้าง เพราะเราต้องเริ่มจากความจริงว่ามูลค่าทั้งปวงที่ทำให้เศรษฐกิจและสังคมไทย เจริญ มาจากการทำงานของกรรมาชีพ มันไม่ได้มาจากการเล่นหุ้น การลงทุน หรือการบริหารแต่อย่างใด

ตรงนี้เห็นชัดเวลามีการนัดหยุดงาน เพราะเมื่อกิจการหยุดการทำงานท่ามกลางการนัดหยุดงาน จะไม่มีการผลิตมูลค่าเลย ไม่ว่าฝ่ายบริหารจะเข้ามาทำงานหรือไม่ หรือไม่ว่านักลงทุนและนักเล่นหุ้นจะกระตือรือร้นแค่ไหน บริษัทก็จะเสียเงินแน่นอน ดังนั้นในสังคมที่มีความเป็นธรรมประชาชนธรรมดาทุกคนควรได้ส่วนแบ่งที่เท่า เทียมกันจากการทำงาน ไม่ใช่ว่ามีกาฝากผู้ถือหุ้นหรือฝ่ายบริหารมากินกำไรด้วยการขโมย
“มูลค่าส่วนเกิน” จากเรา

อย่าง ไรก็ตามเรายังอยู่ในระบบทุนนิยม และเราก็ต้องต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าตราบใดที่เรามีชีวิตอยู่ในระบบ นี้ ดังนั้นเราต้องสามารถตอบคำถามของเพื่อนๆ ว่า
“เราควรเรียกร้องค่าจ้างหรือสวัสดิการแค่ไหน?” และถ้าเราเรียกร้อง “มากไป” เขาจะปิดงานและย้ายฐานการผลิตไปที่อื่นหรือไม่?

สวัสดิการเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างของเราที่หักไปเพื่อออมไว้จ่ายทีหลังในรูปแบบต่างๆ สวัสดิการในสถานที่ทำงานไม่ใช่ “เงินช่วยเหลือจากนายทุน” แต่อย่างใด

และในเรื่องระบบ
“รัฐสวัสดิการ” ซึ่งรัฐสร้างจากภาษีที่เก็บจาก ประชาชน เมื่อเราเรียกร้องให้มีรัฐสวัสดิการและการเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวย เราก็จะเจอคำขู่คล้ายๆ กันด้วย คือจะมีคนพูดว่าเราต้องเบาๆหน่อยในข้อเรียกร้องเพื่อไม่ให้นายทุนย้ายบ้านไป ที่อื่น

ในแง่หนึ่งถ้านายทุนมันโลภมากจนมันทำธุรกิจในประเทศไทยภาย ใต้เงื่อนไขเดียว คือว่าต้องกดค่าแรงลงอย่างถึงที่สุด และไม่จ่ายสวัสดการ หรือไม่จ่ายภาษีในอัตราก้าวหน้าที่เป็นธรรม เราก็อยากจะตะโกนว่า
“ก็ดีแล้ว ให้คนเห็นแกตัวไปอยู่ที่อื่น!!” แต่แค่พูดแบบนี้จะทำให้เพื่อนร่วมงานกลัวว่าเขาจะตกงาน เราจะต้องมีความชัดเจนในเรื่องการย้ายฐานการผลิตมากขึ้นด้วย

ในยุคนี้หลายคนเสนอว่า
“โลกาภิวัตน์” (Globalisation) หรือการที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ขยายตัวไปรอบโลกและสร้างเครือข่ายที่ครอบงำเศรษฐกิจ “มีผลทำให้สหภาพแรงงานอ่อนแอลง” เพราะกลุ่มทุนสามารถโยกย้ายฐานการผลิตไปจากประเทศหนึ่งสู่อีกประเทศหนึ่งได้ ง่าย (ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Foot-loose Multinational Corporate Investors)

นอกจากนี้มีการเสนอว่ารัฐชาติอ่อนแอลงเพราะควบคุมกลไก ตลาดโลกและต่อรองกับบริษัทข้ามชาติไม่ได้ถ้ารัฐไม่ประนีประนอมกับกลุ่มทุน กลุ่มทุนก็จะย้ายการผลิตหรือทำลายเศรษฐกิจประเทศนั้น และหลายคนสรุปว่าในยุคโลกาภิวัตน์แรงงานต้องจำใจอดทนกับงานที่ไร้เสถียรภาพ และสวัสดิการ

อันนี้เป็นคำขู่ของฝ่ายทุนทั่วโลก ในประเทศพัฒนาตะวันตกก็ขู่ว่าจะย้ายไปไทย ไปมาเลเซีย หรือไปจีน ในไทยก็ขู่ว่าจะย้ายไปพม่า ในจีนคงขู่กันว่าจะย้ายไปอัฟริกา!! มันเลยเป็นแรงกดดันกรรมาชีพทั่วโลกให้ลดค่าแรงและสวัสดิการของตนเองจนไม่มี ที่สิ้นสุด

ลองคิดดู... ถ้าคนงานไทยลดค่าแรง คนงานเวียดนามหรือพม่าก็จะถูกกดดันให้ลดค่าแรงเช่นกันเพื่อรักษาความเหลื่อล้ำเดิม ผลคือเรา
“เสียสละ” และไม่ได้อะไรเลย ชนชั้นที่ได้ประโยชน์คือชนชั้นนายทุน นี่คือสิ่งที่นักสหภาพแรงงานสากลเรียกว่า “การกดดันให้เราแข่งกันเพื่อให้กรรมาชีพจนลงกันถ้วนหน้า”

มัน เป็นสาเหตุสำคัญที่นักสหภาพแรงงานในประเทศต่างๆ ต้องจับมือกัน และนักสหภาพแรงงานเชื้อชาติต่างๆ ในประเทศเดียวกันต้องจับมือกันด้วย เราจะได้ร่วมกันขัดขืนการกดค่าแรงสวัสดิการอย่างถ้วนหน้า

ข้อเสนอของ นักวิชาการฝ่ายทุนมีช่องโหว ที่เรานำมาเถียงด้วยได้ มีนักวิชาการฝ่ายกรรมาชีพหลายคนที่ชี้ให้เห็นว่ารัฐไม่ได้อ่อนแอหรือหมดความ สำคัญไปอย่างที่ชอบอ้างกัน เพราะกลุ่มทุนข้ามชาติยังอาศัยอำนาจทางการเมืองและอำนาจทหารของรัฐ และการลงทุนส่วนใหญ่ในโลกก็ยังกระจุกอยู่ที่ประเทศพัฒนาที่ประชาชนมีเงิน เดือนสูง และกำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นประเทศที่มีแรงงานฝีมือ และระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ

ข้อมูลจริงจากโลกพิสูจน์ว่าค่า แรงที่สูงกว่าในตะวันตก ที่มาจากการต่อสู้ของสหภาพแรงงาน โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ทำให้บริษัทส่วนใหญ่ย้ายฐานการผลิตแต่อย่างใด และการมีแรงงานฝีมือสูง และระบบสวัสดิการและสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

การที่กลุ่มทุนจะโยกย้ายฐาน การผลิตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่นลักษณะตลาดภายในแต่ละประเทศ ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และระดับฝีมือของแรงงานบวกกับโครงสร้างสาธารณูปโภค ในรูปธรรมมันแปลว่าถ้าเป็นอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม หรือแม้แต่การประกอบรถยนต์ การย้ายฐานการผลิตไปไกลจากตลาดไม่คุ้ม และกิจกรรมหลายประเภทย้ายไปประเทศอื่นไม่ได้เลย เช่น รถไฟ หรือท่าเรือ

ยิ่งกว่านั้นวิกฤติเศรษฐกิจที่เริ่มที่สหรัฐในปี ค.ศ. 2008 ได้ชี้ให้เห็นว่าเมื่อธนาคารเอกชนใหญ่ๆใกล้จะล้มละลาย รัฐทั่วโลกสามารถก้าวเข้ามาเพื่อกู้บริษัทเอกชนและระบบการเงิน ไม่ใช่ว่ารัฐไม่มีอำนาจอะไรแต่อย่างใด

ในการพิจารณาสภาพแรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักวิชาการหลายคนชอบเสนอภาพของแรงงานที่ย่ำแย่ตกเป็นเหยื่อของโลกาภิวัตน์ เช่น มีการเสนอว่าคนงานหญิงในอินโดนีเซียได้ค่าแรงต่ำกว่าค่าครองชีพและไปทำงาน
“เพื่อซื้อเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น” โดยอาศัยเงินจากพ่อแม่ ซึ่งในระยะยาวเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครจะอาสาทำงานภายใต้เงื่อนไขแบบนั้น

หรือ คนอื่นเสนอว่าคนงานหญิงเสียอำนาจเดิมในหมู่บ้านไปเพราะต้องเข้าไปในเมืองไปทำงานในโรงงานภายใต้
“อำนาจชายเป็นใหญ่” ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลจากพื้นที่เกี่ยวกับสาวโรงงานที่มีความมั่นใจสูงขึ้นเมื่อมีรายได้ของตนเอง ไม่เชื่อก็ไปคุยกับสาวโรงงานได้เลย

แน่ นอนสภาพการทำงาน รายได้ และสวัสดิการของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่สร้างขึ้นจากการลงทุนของกลุ่มทุน ใหญ่ไม่เพียงพอและต้องมีการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน และแน่นอนรัฐบาลหลายแห่ง เช่นไทย เวียดนาม กัมพูชา มักจะโฆษณาว่าภายในประเทศของตน
“มีอัตราค่าแรงต่ำ” เพื่อชักชวนการลงทุนจากภายนอก

ใน กรณีคนงานหญิงในกัมพูชามีหลายคนที่ต้องเสริมรายได้จากการบริการเพศ แต่ในมุมกลับ การลงทุนโดยบริษัทข้ามชาติโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นทำให้มีการสร้างงาน และคนงานบางส่วนมักจะได้รายได้สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำหรือรายได้คนงานในโรง งานห้องแถว หรือรายได้เดิมในภาคเกษตร

ตัวอย่างที่ดีคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ในภาคตะวันออกใกล้ๆ ระยองของไทย อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงในสิงคโปร์ และย่านอุตสาหกรรมรอบๆ เมืองจาการ์ตาในอินโดนีเซีย ซึ่งกลายเป็นแหล่งกรรมาชีพฝีมือมากขึ้นทุกวัน

VediHardiz นักวิชาการแรงงานอินโดนีเซีย อธิบายว่าการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติในอุตสาหกรรมส่งออก ของอินโดนีเซียสร้างความมั่นใจในการจัดตั้งสหภาพแรงงานและในที่สุดนำไปสู่ การต่อสู้กับนายจ้างมากขึ้น เช่นในย่าน Tangerang ทางตะวันตกของเมืองจาการ์ตา ซึ่งเป็นย่านชุมชนคนงานที่มีอุตสาหกรรมหนาแน่นและเต็มไปด้วยคนงานที่อึดอัด ในสภาพความเป็นอยู่ของตนเอง และพร้อมจะต่อสู้อย่างสมานฉันท์

นัก วิชาการอื่นรายงานว่าในกรณีอุตสาหกรรมสิ่งทอของฟิลิปปินส์ นายจ้างจำนวนมากให้ความสำคัญกับฝีมือและประสิทธิภาพในการทำงาน มากกว่าการมองหาวิธีกดค่าแรงอย่างเดียว เพราะถ้าผลิตเสื้อผ้าคุณภาพต่ำก็ขายไม่ออก และในโรงงานที่มีคนงานฝีมือสูง การจัดตั้งสหภาพแรงงานทำได้ง่ายขึ้น

กรณีโรงงานตัดเย็บเสื้อชั้นใน ของไทรอัมฟ์ที่กรุงเทพฯ ก็คล้ายคลึงกัน มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานที่เข้มแข็งมาหลายปีเพราะคนงานมีฝีมือสูงในการตัด เย็บเสื้อผ้า ซึ่งมีผลในการเพิ่มอัตราค่าแรงสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ทุกอย่างไม่แน่นอน ถ้าบริษัทเริ่มมีปัญหาเพราะไม่มีการลงทุนในเครื่องจักรสมัยใหม่ เขาอาจพร้อมที่จะปราบสหภาพแรงงาน หรือฉวยโอกาสจากวิกฤตการเมืองและบรรยากาศเผด็จการ เพื่อทำลายสหภาพแรงงานก็ได้ และสิ่งนี้ก็เกิดกับไทรอัมพ์

ระบบโลกาภิวัตน์มีผลกระทบในเชิงขัดแย้งกับคนงาน มีทั้งผลร้ายและผลดี แต่ประเด็นสำคัญคือคนงานจะมีการจัดตั้งและการต่อสู้เข้มแข็งหรือไม่ เพราะเราสู้ได้ตลอด ไม่ใช่ว่าต้องยอมจำนนเป็นเหยื่อ

ในการคัดค้านความหดหู่ของผู้ที่มองว่าระบบโลกาภิวัตน์ช่วยให้นายทุน ทำลายความเข้มแข็งของสหภาพแรงงาน ด้วยการโยกย้ายการลงทุนไปสู่ประเทศที่มีแรงงานราคาถูก นักวิชาการฝ่ายซ้ายชื่อ
Beverly Silver แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีการโยกย้ายการลงทุนในอุตสาหกรรมจากจุดหนึ่งของโลกไป สู่จุดอื่นๆ ในไม่ช้าศูนย์กลางการต่อสู้ของกรรมาชีพกับนายทุนก็จะเกิดขึ้นในพื้นที่การ ผลิตใหม่ตามมาอย่างต่อเนื่อง[1]

Silver เสนอว่าเราต้องมองโลกาภิวัตน์และการลงทุนในรูปแบบที่มีพลวัตของการต่อสู้ทาง ชนชั้นไม่หยุดนิ่งตายตัว คือเมื่อขบวนการแรงงานสร้างความเข้มแข็งในการต่อรองในพื้นที่หนึ่ง นายทุนอาจพยายามย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น แต่ในไม่ช้ากรรมาชีพในพื้นที่ใหม่ก็จะเริ่มสร้างสหภาพแรงงานและเพิ่มอำนาจ ต่อรองอย่างต่อเนื่อง

สรุปแล้วการขยายตัวของระบบทุนนิยมเพิ่มการเผชิญ หน้ากันระหว่างทุนกับแรงงาน ถ้าแรงงานเข้มแข็งมันจะมีผลต่ออัตรากำไรของนายทุน แต่ถ้านายทุนและรัฐกดขี่แรงงาน รัฐจะขาดความชอบธรรมทางการเมือง

สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาเพื่อเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่ออำนาจการต่อรองของสหภาพแรงงานคือ

(1) ความสะดวกในการย้ายฐานการผลิตหรือฐานกิจกรรม เพราะนายทุนอาจย้ายฐานการผลิตเสื้อผ้าหรือ ศูนย์บริการทางโทรศัพท์ได้ง่าย แต่ไม่สามารถย้ายกิจการอื่นๆ ได้ดั่งใจ เช่นการผลิตรถยนต์ ปูนซีเมน สบู่ หรืออุตสาหกรรมน้ำอัดลม เพราะเน้นขายในตลาดภายในขณะที่เป็นสินค้าที่มีรูปแบบที่ไม่คุ้มกับการขนส่ง ข้ามทวีป หรือในกรณี สถาบันการศึกษา การก่อสร้าง หรือเส้นทางคมนาคม เช่นรถไฟ หรือท่าเรือ ย้ายไปทวีปอื่นไม่ได้เลย

นอกจากนี้เวลามีการย้ายหรือขยายฐานการผลิตไป ประเทศอื่น นายทุนต้องคำนึงถึงระดับฝีมือและการศึกษาของคนงานและความสะดวกสบายจากโครง สร้างสาธารณูปโภค

กรณีศูนย์บริการทางโทรศัพท์ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะเมื่อสิบปีก่อน เวลาลูกค้าบริษัทต่างๆ ในประเทศตะวันตก โทรศัพท์ไปที่ศูนย์บริการลูกค้า คนที่รับโทรศัพท์จะไม่อยู่ในสหรัฐหรือยุโรป แต่จะอยู่ที่อินเดีย แต่ปรากฏว่าลูกค้าจำนวนมากร้องเรียนว่าคุยไม่รู้เรื่องบ้าง หรือคนรับโทรศัพท์ไม่มีอำนาจติดต่อกลับไปที่บริษัทได้ เพราะแค่รับฝากข้อความเท่านั้น จนในที่สุดหลายบริษัทเริ่มโฆษณาว่าเขามีศูนย์บริการภายในประเทศ ไม่ได้โอนไปอินเดียหรือที่อื่นอีกแล้ว

(2) บรรยากาศทางการเมืองในประเทศต่างๆ มีผลต่อความสามารถของคนงานในการสร้างสหภาพแรงงานและการนัดหยุดงานเพื่อต่อ รอง เช่นในเกาหลีใต้เมื่อเริ่มมีการผลิตรถยนต์ การเมืองถูกครอบงำโดยเผด็จการทหาร แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มมีการสร้างสหภาพแรงงาน และการต่อสู้ของสหภาพก็ช่วยในการทำลายระบอบเผด็จการซึ่งมีผลในการหนุนเสริม ศักยภาพในการต่อสู้ของสหภาพอีกที

การที่บรรยากาศทางการเมืองมีความ สัมพันธ์กับอำนาจการต่อรองของแรงงานหมายความว่าการเรียกร้องกับรัฐยังมีความ สำคัญ ไม่ใช่ว่ารัฐชาติหมดสภาพไป และมันแปลว่าสังคมที่มีประชาธิปไตยมีแนวโน้มที่จะลดเผด็จการนายทุนได้ระดับ หนึ่ง ในไทยมันแปลว่าเราต้องร่วมรณรงค์กับคณะนิติราษฎร์ เพื่อลบผลพวงของรัฐประหาร และเพื่อแก้ปัญหาที่มาจากกฏหมายเผด็จการอย่าง 112 อีกด้วย

(3) การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอาจช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองให้นายจ้างได้ เช่นการปิดโรงงานที่มีสหภาพเข้มแข็ง และเปิดโรงงานที่มีเครื่องจักรทันสมัยในจังหวัดอื่น พร้อมกับการเกณฑ์คนงานรุ่นใหม่เข้ามา หรือการเปลี่ยนวิธีขนส่งทางเรือโดยการใช้เทคโนโลจีของตู้ Container อาจช่วยทำลายสหภาพในท่าเรือเก่า

นอกจากนี้นายทุนอาจนำวิธีการบริหาร กิจกรรมใหม่เข้ามาใช้เพื่อหวังเพิ่มอำนาจการบริหารบุคคลหรือเพิ่ม ประสิทธิภาพการผลิต แต่ผลของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมักจะมีผลตรงข้ามด้วยคือเพิ่มอำนาจต่อรองให้ คนงาน

การลดจำนวนคนงานผ่านการเพิ่มเทคโนโลยีทำให้คนงานกลุ่มเล็กมี อำนาจต่อรองสูงขึ้น ถ้าเขารวมตัวกันได้ การใช้ระบบ just in time ที่ไม่สะสมชิ้นส่วนไว้ในโรงงานนานเกินไป ทำให้การนัดหยุดงานในโรงงานหนึ่ง มีผลกระทบกับหลายๆ โรงงานในหลายประเทศได้ หรือการจัดวงคุยในหมู่ลูกจ้างเพื่อสร้างความจงรักภักดีต่อบริษัท อาจทำให้คนงานมานั่งด่านายจ้างก็ได้ ทุกอย่างมีสองด้าน

ในประเทศไทยหลังน้ำท่วม คนงานตกงานเป็นแสน บริษัทข้ามชาติหลายแห่งอาจทบทวนการลงทุนในประเทศไทย แต่สำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการประกอบรถยนต์ การถอนตัวออกจากไทยจะทำให้คู่แข่งเขาครองตลาดยานยนต์ในไทยได้ง่ายขึ้น

สำหรับบริษัทอีเลคทรอนนิคส์ เขาต้องอาศัยแรงงานฝีมือที่มีการศึกษา การย้ายไป พม่า ลาว หรือ เขมร อาจไม่คุ้ม และสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามคือ รัฐบาลมีหน้าที่ในการสร้างงานให้พลเมืองในระดับที่มีคุณภาพ นี่คือสาเหตุที่เราต้องกล้าวิจารณ์รัฐบาลเพื่อไทย และกล้าเคลื่อนไหวอิสระจากรัฐบาลเมื่อเขาไม่ทำตามผลประโยชน์ของคนจน

ถ้า เราจะรับมือกับคำขู่ของนายทุน นักวิชาการฝ่ายทุน หรือนักการเมืองได้ เราต้องรู้ทันพวกนี้ เราต้องมั่นใจว่าเราไม่ได้โง่หรือไร้ความสามารถในการคิด เหมือนที่เขาอยากให้เราเชื่อ เราต้องศึกษาประเด็นการเมือง เศรษฐศาสตร์และแรงงาน และเราต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสหภาพแรงงานที่กล้าเคลื่อนไหวในเรื่องปาก ท้องและการเมืองภาพกว้างพร้อมๆ กัน

ในโลกแห่งสังคมมนุษย์ มันมีความขัดแย้งทางชนชั้นเสมอ โดยที่ไม่เคยมีการผูกขาดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จโดยฝ่ายนายทุนแต่อย่างใด ตราบใดที่มีทุนนิยม นายทุนต้องพึ่งพากรรมาชีพตลอด นั้นคือต้นกำเนิดของพลังกรรมาชีพ แต่ถ้าเราไม่ฉลาดในการสามัคคีสมานฉันท์ และการจัดตั้งทางการเมือง พลังนั้นจะใช้ไม่ได้



(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.com/

Wake Up Thailand 01พค55

Wake Up Thailand 01พค55 


Posted Image

(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=khutck36jL0&feature=relmfu

The Daily Dose 01พฤษภาคม55

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=HGzi67NxgB8#! 

1 พฤษภาคม วันกรรมกรสากล (May Day)

1 พฤษภาคม วันกรรมกรสากล (May Day)


กรรมกรทั้งผองคือพี่น้องกัน! 

ภราดรภาพนิรันดร์!

ศักดิ์ศรีกรรมกร 

http://www.youtube.com/watch?v=xjbja8H5weY&feature=player_embedded  

รำวงวันเมย์เดย์ 

http://www.youtube.com/watch?v=-LFzIzMQcJc 

เพลงปฏิวัติ-แองเตอร์นาซิอองนาล

http://www.youtube.com/watch?v=KSCwJrg8ghA 

Occupy May Day 2012

http://www.youtube.com/watch?v=HCdHQy9seCo

แถลงการณ์องค์กรเลี้ยวซ้าย วันแรงงานสากล วันแรงงานประชาธิปไตย ปล่อยนักโทษการเมือง

แถลงการณ์องค์กรเลี้ยวซ้าย วันแรงงานสากล วันแรงงานประชาธิปไตย ปล่อยนักโทษการเมือง

 



วันที่หนึ่งพฤษภาคมมีความสำคัญสองประการคือ

1. เป็น วันของผู้ทำงาน วันของชนชั้นกรรมาชีพ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างแบบไหน ในห้องแอร์ หรือในโรงงาน ข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นวันของสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นองค์กรจัดตั้งของผู้ทำงาน สรุปแล้วมันเป็นเรื่อง ชนชั้นเพราะ ในโลกของทุนนิยมปัจจุบัน มีกลุ่มคนสองชนิดคือ คนทำงาน(ภาคเมืองและภาคเกษตร) กับคนที่เป็นกาฝาก กินอยู่มีสุขจากการทำงานของคนอื่น ชนชั้นนายทุน ตัวร้ายสุดในไทยคือพวกอำมาตย์ซึ่งเป็นชนชั้นนายทุนหัวเก่า

2. เป็น วันที่เน้นความสมานฉันท์สากล เป็นการประกาศว่าเราคนทำงาน ไม่ว่าจะสัญชาติเชื้อชาติใด มีผลประโยชน์ร่วมกันข้ามพรมแดนซึ่งเป็นแนวคิดที่ไปชนกับความคิดอำมาตย์ในไทย ที่พยายามยัดความคิด ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ใส่ หัวเรา เพื่อให้เรามองว่าแค่เป็นไทยด้วยกันก็เหมือนกันหมด ทั้งนี้เพื่อปกปิดความเหลื่อมล้ำทางอำนาจและฐานะเศรษฐกิจที่ดำรงอยู่ นี่คือสาเหตุที่อำมาตย์ชอบพูดว่า วันที่ ๑ พฤษภา เป็นวันแรงงานแห่งชาติ

ทำไมคนทำงานหรือกรรมาชีพทั่วโลกจึงมีผลประโยชน์ร่วมกัน?

แค่ดูผิวเผินก็จะเห็นว่าในวิกฤตเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน คนที่ต้องรับเคราะห์มากที่สุดจากการตกงานคือ เราแต่คนที่คุมเศรษฐกิจและทำให้มันพังเป็น เขาไม่ ว่าคุณจะทำงานในโรงงานที่อยุธยาหรือภาคตะวันออก หรือที่สหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี หรือมาเลเซีย พวกที่คุมเศรษฐกิจกำลังทำลายชีวิตของคนด้วยการเลิกจ้าง ในขณะเดียวกันพวกข้างบนก็ยังมีความสุขและรายได้

มัน ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับไทย การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เกิดจากการที่รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ บริหารเศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤตโลก โดยรักษาผลประโยชน์ของราชวงศ์ คนอื่นต้องถูกตัดเงินเดือนและขึ้นภาษี ต่อมาในวิกฤตปี ๒๕๔๐ รัฐบาลประชาธิปัตย์ ใช้เงินเราอุ้มบริษัทไฟแนนส์และธนาคาร เพื่อปกป้องคนรวย ในขณะที่คนงานและคนจนยากลำบาก นี่คือที่มาของนโยบายประชานิยมของ ไทยรักไทย ที่พยายามลดความเหลื่อมล้ำระดับหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการเซ็นสัญญาค้าเสรีของ ไทยรักไทย ซึ่งสืบทอด/ต่อยอดมาจากประชาธิปัตย์และรัฐบาลอื่นๆ ก็สร้างปัญหาให้คนทำงานมากมาย

ใครๆ ก็รู้ว่า ไทยรักไทย เป็นพรรคของนายทุนซีกหนึ่ง ไม่ใช่พรรคของคนทำงาน แต่ไทยรักไทย พร้อมจะทำให้สังคมทันสมัย และให้คนจนมีส่วนในสังคมมากขึ้น ซึ่งแปลว่าต้องลดความเหลื่อมล้ำ แค่ นี้พวกอำมาตย์ก็ไม่พอใจ อย่างไรก็ตามเราคงไม่แปลกใจว่า ไทยรักไทย มีความขัดแย้งในตัวระหว่างผลประโยชน์นายทุนซีก ไทยรักไทย และผลประโยชน์คนทำงาน และนี่คือสาเหตุที่คนเสื้อแดงก้าวหน้าและนักประชาธิปไตยแรงงาน ในปัจจุบันต้องผลักดันให้ไทยมีรัฐสวัสดิการ ถ้วนหน้า-ครบวงจร-และจากการเก็บภาษีจากคนรวย

นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว เราไม่ควรมองข้ามเรื่องการเมือง เพราะเศรษฐกิจกับการเมืองเป็นเรื่องเดียวกัน

ชน ชั้นกรรมาชีพทั่วโลกมีผลประโยชน์ร่วมกันในการสร้างประชาธิปไตย และผู้ที่พยายามขัดขวางประชาธิปไตยและเสรีภาพของคนชั้นล่าง ล้วนแต่เป็นพวก อำมาตย์ พวกทหาร และพวกนายทุนใหญ่หัวเก่า สามพวกนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน มันไม่มีศักดินาแล้วเพราะถูกยกเลิกไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ นอกจากนี้ยังมีพวกชนชั้นกลางประเภทที่เห็นแก่ตัวที่เป็นอุปสรรค์ต่อ ประชาธิปไตย เช่นมวลชนของพันธมิตรฯ สลิ่มเสื้อหลากสี

วัน แรงงานสากล จึงต้องเป็นวันของแรงงานที่รักประชาธิปไตย ต้องการเห็นความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจและการเมือง และเราจะต้องต่อสู้กับอิทธิพลเสื้อเหลืองในขบวนการแรงงานอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะพวกอำมาตย์พยายามมาตลอดที่จะทำลายจิตสำนึกทางชนชั้นของคนทำงาน เขาพยายามจะสอนให้เราเชื่องและจงรักภักดีต่ออำนาจเขา คนงานจะได้เป็นทาส และเราจะเห็นพวกสหภาพแรงงานเสื้อเหลืองบางกลุ่มบนท้องถนนในวันแรงงาน เราจึงต้องทำให้ขบวนการแรงงานเป็นแดง

ข้อเรียกร้องของขบวนการแรงงานประชาธิปไตย ปัจจุบันคือ

หนึ่ง ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน ทันที โดยไม่มีเงื่อนไข เพราะไม่ควรมีใครต้องติดคุยด้วยการออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย หรือมีความคิดทางการเมืองที่แตกต่าง

สอง ต้องสร้างสังคมไทยให้เป็น รัฐสวัสดิการโดยเก็บภาษีสูง จากคนรวยมากๆ โดยเฉพาะพวกอำมาตย์เพราะภาษีที่เก็บจากคนเหล่านี้ มันมาจากการทำงานของคนทำงานแต่แรก แต่ถูกขโมยไปภายใต้อิทธิพลการบริหารรัฐของทุนนิยม



(ที่มา)
http://redthaisocialist.com/2011-02-22-09-46-04/341-2012-04-30-17-22-44.html