หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

อย่ามาพูดว่า นปช. สู้ไม่ได้ ข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้น

อย่ามาพูดว่า นปช. สู้ไม่ได้ ข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้น


2013_01_02_clenched_fist_1 
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
 
มีหลายคนพูดว่า แกนนำ นปช. ไม่สามารถนำการต่อสู้กับเผด็จการในช่วงนี้ได้ ดังนั้นเราจึงต้องไปฝากความหวังกับ “เสรีไทย” ภายนอกประเทศ เพื่อให้ไปล็อบบี้องค์กรหรือรัฐบาลต่างประเทศ

แต่ถ้าเราจะล้มเผด็จการ การเคลื่อนไหวภายในประเทศเป็นเรื่องชี้ขาด

นี่คือบทเรียนจากประเทศไทย และนานาประเทศในเอเชีย และลาตินอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ หรือ อาเจนทีนา และการล้มเผด็จการในไทยยุค ๑๔ ตุลา หรือพฤษภา๓๕ ล้วนแต่มาจากการเคลื่อนไหวต่อสู้ภายในประเทศ การกดดันอำมาตย์ไทยให้เริ่มเปิดเสรีหลัง ๖ ตุลา ก็มาจากการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทั้งๆ ที่การต่อสู้นี้จบลงด้วยการล่มสลายของพรรค

สหรัฐอเมริกา หรือ อียู อาจแสดงจุดยืนต้านเผด็จการไทย แต่ในรูปธรรมเขาจะไม่ทำอะไรมาก และเรื่องที่สำคัญสำหรับรัฐบาลเหล่านั้นคือผลประโยชน์ระหว่างประเทศ เวลาเขาคิดถึงไทย การคานอำนาจจีนเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นรัฐบาลตะวันตกคงจะไม่ไล่รัฐบาลไทยไปกอดคอกับจีนฝ่ายเดียว คงพยายามรักษาความสัมพันธ์กับไทยทั้งๆ ที่เป็นเผด็จการ ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลเหล่านี้ก็มีประวัติในการผูกมิตรกับเผด็จการทั่วโลกอยู่ แล้ว เช่นเผด็จการซุฮาร์โต้ในอินโดนีเซีย หรือซาอุ ส่วนสหประชาชาตินั้น ก็เป็นแค่เครื่องมือของมหาอำนาจ แถมเป็นเครื่องมือที่ไร้ประสิทธิภาพอีกด้วย

การล็อบบี้ต้านเผด็จการภายนอกประเทศไทยมีประโยชน์ในการชูประเด็น แต่เรื่องหลักคือเราจะสู้ภายในประเทศไทยอย่างไร

ในอดีตนักประชาธิปไตยไทยก็สู้กับเผด็จการโหดร้ายป่าเถื่อนกว่าเผด็จการ ยุคนี้ เขาใช้วิธีใต้ดิน มีการจัดตั้งลับ มีการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ เมื่อมีโอกาส และมีการจับอาวุธ แต่การจับอาวุธไม่มีประโยชน์กับเราในวันนี้ เพราะฝ่ายตรงข้ามมีอาวุธเหนือเรา และจะทำให้เราเสียการเมือง เสียความชอบธรรม มันเป็นอุปสรรค์ต่อการหามวลชนคนธรรมดามาร่วมกับเรา ดังนั้นเราต้องเน้นการเมืองมวลชน

ในอดีตนักศึกษาและกรรมกรก็มีการประท้วง มีการติดโปสเตอร์ มีการประชุมทางการเมืองใต้ดิน มีการแจกจ่ายสื่อ ถ้าฝ่ายเผด็จการคุมหนัก อาจเคลื่อนไหวในประเด็นที่ไม่พุ่งตรงไปที่เผด็จการ เช่นเรื่องค่าจ้างแรงงาน สิทธิสตรี การต่อต้านระบบรับน้อง หรือแม้แต่เรื่องสิ่งแวดล้อม

และในปัจจุบันเราก็เห็นนักศึกษาที่เคลื่อนไหวแบบนี้ เพื่อต่อต้านเผด็จการ คสช. และสมุนรับใช้ทหารที่คุมมหาวิทยาลัยอยู่

‘อมรา’แจง 5 ปี กสม.ถูกวิพากษ์ไร้ผลงาน ระบุความขัดแย้งการเมืองทำงานยาก สถานการณ์ละเมิดสิทธิ์ม.112รุนแรงมาก

‘อมรา’แจง 5 ปี กสม.ถูกวิพากษ์ไร้ผลงาน ระบุความขัดแย้งการเมืองทำงานยาก สถานการณ์ละเมิดสิทธิ์ม.112รุนแรงมาก


Photo: อมรา ภูมิใจผลงานกรรมการสิทธิฯ 5ปี

- ทหารฆ่าคนตายกลางเมืองปี53ไม่ผิด
- ให้กำลังใจม็อบนกหวีด
- นิ่งเฉยกับรัฐประหาร
- ทองไม่รู้ร้อนกับการละเมิดสิทธิฯของ คสช.

http://www.tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=4905 

อมรา ภูมิใจผลงานกรรมการสิทธิฯ 5ปี

- ทหารฆ่าคนตายกลางเมืองปี 53 ไม่ผิด
- ให้กำลังใจม็อบนกหวีด
- นิ่งเฉยกับรัฐประหาร
- ทองไม่รู้ร้อนกับการละเมิดสิทธิฯของ คสช.


(ที่มา)
http://www.tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=4905

บันทึกความจริงใต้เงาเผด็จการ

บันทึกความจริงใต้เงาเผด็จการ



Photo: เมื่อวันที่ 22 พ.ค. มีประกาศกฎอัยการศึก ทำให้มีโทรศัพท์หากันวุ่นวายและคุยกันเรื่องชุมนุมประท้วงต้านกฎอัยการศึกทันทีและพวกเราก็ได้ทำกิจกรรมต้านกฎอัยการศึก เพราะเชื่อว่าคงจะรัฐประหารแน่นอน!!

แล้วก็เป็นจริง มีประกาศรัฐประหารตามตามมา และต้องประกาศเรียกรายงานตัว ซึ่งก็จริงตามความคิด โดยมีประกาศเรียกรายงานตัวมีคนรู้จักทั้งนั้นเลย ขณะนั้นรู้สึกเป็นห่วงทุกคน ยิ่งคนไหนสนิทมากก็จะกังวลมาก และได้มีโอกาสโทรกลับไปหาเพื่อนๆเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์ 
ทำให้เริ่มติดตามข่าวการชุมนุมต้านรัฐประหารอย่างใกล้ชิดแบบไม่หลับไม่นอนเลย เพราะประเมินไม่ได้เลยว่าจะเรียกใครไปรายงานตัวบ้าง ไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของ คสช.คือใครบ้าง จากการติดตามข่าวก็รู้แต่เฉพาะคนที่เป็นข่าวเท่านั้น ส่วนคนสนิทที่ถามจากญาติทุกคนที่ไปรายงานตัวกลับออกมาก็จะติดต่อไม่ได้ เพื่อนสนิทบางคนก็หายตัวไปติดต่อไม่ได้ ทราบอีกทีก็เห็นว่าถูกทหารจับตัวไปแล้ว ยิ่งทำให้ไม่รู้สถานการณ์ว่าความเป็นจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่ 

จากนั้นเริ่มเห็นข่าวจับกุมผู้ออกไปต้านรัฐประหารตามที่ต่างๆ รวมถึงการประกาศออกมาควบคุมผู้ชุมนุมมากขึ้น ผู้ถูกเรียกรายงานตัวที่เข้าแล้วไม่มีข่าวออกมาว่าเป็นอย่างไรและไม่ทราบจำนวนคนว่าไปรายตัวมากน้อยแค่ไหน ทำให้มีแต่ข่าวลือว่าไปรายงานตัวแล้วถูกทำร้ายร่างกายจนตาย บางคนไม่ไปรายงานตัวหนี มีข่าวลือเหล่าออกมาเป็นระยะผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นข้อมูลที่เช็คไม่ได้เลยว่าจริงหรือไม่  

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเรื่องการปิดเฟซบุ๊ก การแฮกข้อมูลส่วนตัวทางไลน์ ทางเฟซบุ๊กของกลุ่มคนที่ทาง คสช. ต้องการข้อมูลในเรื่องต่างๆ ทำให้มีคนเตือนว่าให้ลบข้อมูลที่แชทหลังไมค์กับคนอื่นออกให้หมด รวมทั้งมีคำเตือนว่าสำหรับคนที่โดนเรียกรายงานตัวด้วยว่าอาจจะต้องลบข้อมูลหรือปิดเฟซบุ๊กไปเลย 

ข่าวลือเกี่ยวกับความรุนแรงต่อคนที่ถูกเรียกไปรายงานตัวมากมาย เช่น เข้าไปรายงานตัวแล้วไม่ทราบชะตากรรม เข้าไปแล้วญาติพี่น้องไม่ทราบทหารเอาไปไว้ที่ไหน ถูกกักตัวกี่วันมีการซ้อมทรมานหรือไม่ เป็นต้น สถานการณ์ตอนนั้นวุ่นวายมาก คนที่ถูกเรียกรายงานตัวต้องหวาดผวากับสถานการณ์ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ภาพข่าวทหารอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ประกาศเคอร์ฟิว การจับกุมผู้คัดค้าน การเรียกรายงานตัว ยิ่งทำให้เกิดความหดหู่มากขึ้น

ขณะที่ตัวเองก็ยังรอลุ้นว่าจะมีรายชื่อเรียกรายงานตัวหรือไม่ แต่ตอนนั้นก็คิดไว้ว่าอาจจะถูกเรียก บวกกับสอบถามเพื่อนๆ ขณะนั้นมีข่าวลือว่าอาจจะมีการอุ้มหายหรือฆ่าทิ้งหรือเรียกรายงานตัว ขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้นอยู่ในบัญชีไหน เมื่อทราบแบบนี้ยิ่งคิดก็หวาดกลัวมากขึ้นสำหรับนักกิจกรรมที่ยังไม่มีรายชื่อเรียกรายงานตัว เมื่อมีประกาศรายงานตัวก็จะติดตามว่ามีชื่อตัวเองหรือเปล่า แต่ขณะนั้นไม่เคยคิดจะวางแผนล่วงหน้าเลยว่าจะไปรายงานตัวหรือไม่
อย่างไรก็ตามอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมามีประกาศเรียกรายงานตัว ขณะนั้นอยู่นอกบ้าน กำลังทำกิจกรรมต้านรัฐประหารอยู่ จึงไม่ทราบข่าวในทันที แต่พอกลับเข้าบ้านแล้วเช็คข้อมูลทางไลน์และเฟซบุ๊กก็ทำให้ทราบข่าว 

คำถามแรกที่ถามตัวเองขณะนั้นคือแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เพราะที่ผ่านมาไม่เคยวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย 
เมื่อตั้งสติได้จึงเช็คกับเพื่อนที่โดนเรียกด้วยกันว่าพวกเขาจะไปเข้ารายงานตัวหรือไม่ พร้อมทั้งประเมินถึงสาเหตุที่เรียกพวกเรา และที่สำคัญก็ประเมินกันต่อว่าจะเป็นประเด็นที่ร้ายแรงหรือไม่ด้วย

เรื่องใหญ่คือถามตัวเองว่าจะไปรายงานตัวหรือไม่ เพราะขณะนั้นยังมีเวลาคิดอีก 3 วัน ก่อนจะถึงกำหนด ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่คิดมากตลอด ประกอบกับพิจารณาจากรายชื่อที่ถูกเรียกรายงานตัวในคำสั่ง คสช. ฉบับเดียวกันนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับ มาตรา 112 จึงยิ่งทำให้รู้สึกกังวลมากขึ้น 

ขณะนั้นได้ติดต่อครอบครัว ทราบจากพี่สาวด้วยว่ากำนันได้เข้ามาขอข้อมูลส่วนตัวของเรา ว่าทำงานอะไร พาเพื่อนมาบ้านด้วยหรือเปล่า เพื่อนเป็นใครบ้าง มาบ้านบ่อยแค่ไหน เล่าอะไรให้ฟังบ้าง และที่เน้นถามมากๆคือมีแฟนหรือเปล่า เป็นต้น  ส่วนตัวก็คิดว่า คสช. มีอำนาจอะไรมาเรียกเรา ถ้าเราไม่ยอมรับอำนาจนั้น โดยไม่ไปรายงานตัวจะเกิดปัญหากับเราอย่างไร กับครอบครัวอย่างไร กับคนรอบข้าง กับธุรกิจที่เราทำอยู่อย่างไร 
ถ้าเราไปรายงานตัวเราต้องเจอกับอะไรบ้าง คนอื่นๆ จะมองว่าเราไปยอมรับอำนาจแบบนั้นได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ทำให้คิดมาก เริ่มมองคนอื่นๆ ที่เขาไปรายงานตัวว่าเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง รวมไปถึงคิดเรื่องการอยู่ต่างประเทศจะทำอะไรได้ มากน้อยแค่ไหน จะมีคนสนใจเข้าร่วมหรือเปล่า จะมีการรวมกลุ่มคนในต่างประเทศได้อย่างไร เป็นช่วงที่วุ่นวายในการตัดสินใจมากๆ ในที่สุดแล้วก็ตัดสินใจไปรายงานตัว แต่ขณะนั้นไปรายงานตัวโดยตรงไม่ได้ จึงใช้วิธีการไปรายงานตัวกับหน่อยงานที่เกี่ยวข้อง และทำจดหมายถึง คสช. ผ่านสื่อ แต่ปรากฏว่าหน่วยงานที่เราไปพบไม่ได้สนใจที่จะรับรายงานตัวเราเลย

เพื่อนๆ หลายคนได้เข้ารายงานตัว และเมื่อออกมาก็ได้ติดต่อสอบถามข้อมูลในเรื่องต่างๆ จากนั้นเมื่อได้ข้อมูลก็คิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะว่าเรื่องต่างๆ เราน่าจะอธิบายได้ คิดว่าเรื่องสำคัญขณะนั้นคือเรายังมีอะไรที่ต้องทำอีกมาก ทั้งเรื่องงานส่วนรวม งานส่วนตัว

แต่หลังจากเรียกรายงานตัวได้ 3 วัน กลับมีหมายจับตามมาอีก ทำให้เรื่องยิ่งซับซ้อน การตัดสินใจยากขึ้น ยิ่งคิดมากขึ้น   จึงวางแผนติดต่อเพื่อนทุกคนที่ไว้วางใจเพื่อประเมินสถานการณ์ทั้งทางกฎหมายและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงติดต่อเพื่อนในต่างประเทศเกี่ยวกับการลี้ภัย ประเมินความเป็นไปได้ทั้งหมด และสอบถามถึงสภาพชีวิตความเป้นอยู่ของผู้ลี้ภัย มีขั้นตอนอะไรบ้าง คนที่รับรองเข้าเมืองจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ญาติพี่น้อง เพื่อน ธุรกิจ ทุกคนที่เกี่ยวข้อง  ได้นำข้อมูลจากทุกส่วนมานั่งคิดวิเคราะห์ ยิ่งทำให้รู้สึกสับสนมาก รวมถึงประเมินว่าถ้าติดคุกจะได้อะไรจากการติดคุก เราพร้อมจะเจอปัญหาหรือยัง เงินประกันตัวต้องหาจากไหน เป็นเงินเท่าไหร่ ใครจะเป็นทนาย ถ้าทำเรื่องลี้ภัยต้องทำแบบไหนใครจะเข้ามาช่วยได้บ้าง ทำข้อมูลเพื่อนในต่างประเทศทั้งหมดที่จะช่วยเหลือเราได้

สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินหน้าเข้ามอบตัว แต่ระหว่างวันก็ยังคิดว่าถ้ามีปัจจัยอื่นแทรกแซงเข้ามา เช่น มีการอุ้มฆ่า คนหาย คนตายยิงกราด กวาดจับไม่เลือกหน้า เป็นต้น เราก็จะเปลี่ยนใจ แต่เท่าที่ตามสถานการณ์ไม่ได้เกิดความรุนแรงแบบนั้น   เมื่อตัดสินใจแล้วก็เตรียมแผนที่จะเผชิญต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เตรียมรับมือ ช่วงของการตัดสินใจนั้นเราใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจทั้งหมด ข้อมูลจากคนอื่นๆเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น การให้กำลังใจ คำแนะนำต่างๆ ในช่วงนั้น ทำให้คิดว่าถ้าเราทำงานกันแบบปัจเจกและไม่มีขบวนการในการต่อต้าน เราจะโดดเดี่ยวและที่สุดเราก็คงจะต้องคิดเรื่องทำมาหากินเพื่อให้ชีวิตรอดไปวันๆ เท่านั้น  

เป็นความรู้สึกที่ตัดสินใจยากลำบากมากที่สุดเท่าที่เจอมา มันเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เราก็ผ่านการตัดสินใจนั้นมาแล้ว เราเลือกที่จะเดินเข้าไปเผชิญปัญหาทุกอย่าง...
 
- แอนน์ แฟรงค์
เป็นเรื่องที่ห้ามพลาดจริงๆ กับบันทึกนิรนามของคนที่ถูกเรียกรายงานตัวในเพจนี้ 

เมื่อวันที่ 22 พ.ค. มีประกาศกฎอัยการศึก ทำให้มีโทรศัพท์หากันวุ่นวายและคุยกันเรื่องชุมนุมประท้วงต้านกฎอัยการศึก ทันทีและพวกเราก็ได้ทำกิจกรรมต้านกฎอัยการศึก เพราะเชื่อว่าคงจะรัฐประหารแน่นอน!! 

แล้วก็เป็นจริง มีประกาศรัฐประหารตามตามมา และต้องประกาศ เรียกรายงานตัว ซึ่งก็จริงตามความคิด โดยมีประกาศเรียกรายงานตัวมีคนรู้จักทั้งนั้นเลย ขณะนั้นรู้สึกเป็นห่วงทุกคน ยิ่งคนไหนสนิทมากก็จะกังวลมาก และได้มีโอกาสโทรกลับไปหาเพื่อนๆเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์  

ทำให้เริ่มติดตามข่าวการชุมนุมต้าน รัฐประหารอย่างใกล้ชิดแบบไม่หลับไม่นอนเลย เพราะประเมินไม่ได้เลยว่าจะเรียกใครไปรายงานตัวบ้าง ไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของ คสช.คือใครบ้าง จากการติดตามข่าวก็รู้แต่เฉพาะคนที่เป็นข่าวเท่านั้น ส่วนคนสนิทที่ถามจากญาติทุกคนที่ไปรายงานตัวกลับออกมาก็จะติดต่อไม่ได้ เพื่อนสนิทบางคนก็หายตัวไปติดต่อไม่ได้ ทราบอีกทีก็เห็นว่าถูกทหารจับตัวไปแล้ว ยิ่งทำให้ไม่รู้สถานการณ์ว่าความเป็นจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่  

จากนั้นเริ่มเห็นข่าวจับกุมผู้ออกไป ต้านรัฐประหารตามที่ต่างๆ รวมถึงการประกาศออกมาควบคุมผู้ชุมนุมมากขึ้น ผู้ถูกเรียกรายงานตัวที่เข้าแล้วไม่มีข่าวออกมาว่าเป็นอย่างไรและไม่ทราบ จำนวนคนว่าไปรายตัวมากน้อยแค่ไหน ทำให้มีแต่ข่าวลือว่าไปรายงานตัวแล้วถูกทำร้ายร่างกายจนตาย บางคนไม่ไปรายงานตัวหนี มีข่าวลือเหล่าออกมาเป็นระยะผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นข้อมูลที่เช็คไม่ได้เลยว่าจริงหรือไม่  

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเรื่องการปิด เฟซบุ๊ก การแฮกข้อมูลส่วนตัวทางไลน์ ทางเฟซบุ๊กของกลุ่มคนที่ทาง คสช. ต้องการข้อมูลในเรื่องต่างๆ ทำให้มีคนเตือนว่าให้ลบข้อมูลที่แชทหลังไมค์กับคนอื่นออกให้หมด รวมทั้งมีคำเตือนว่าสำหรับคนที่โดนเรียกรายงานตัวด้วยว่าอาจจะต้องลบข้อมูล หรือปิดเฟซบุ๊กไปเลย

ข่าวลือเกี่ยวกับความรุนแรงต่อคนที่ ถูกเรียกไปรายงานตัวมากมาย เช่น เข้าไปรายงานตัวแล้วไม่ทราบชะตากรรม เข้าไปแล้วญาติพี่น้องไม่ทราบทหารเอาไปไว้ที่ไหน ถูกกักตัวกี่วันมีการซ้อมทรมานหรือไม่ เป็นต้น สถานการณ์ตอนนั้นวุ่นวายมาก คนที่ถูกเรียกรายงานตัวต้องหวาดผวากับสถานการณ์ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ภาพข่าวทหารอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ประกาศเคอร์ฟิว การจับกุมผู้คัดค้าน การเรียกรายงานตัว ยิ่งทำให้เกิดความหดหู่มากขึ้น

"นายกฯ"ยัน"ห้ามพูดเรื่องปชต.-วิจารณ์รัฐ

"นายกฯ"ยัน"ห้ามพูดเรื่องปชต.-วิจารณ์รัฐ


Photo: สั้นๆจบปะ  ห้ามพูดถึงประชาธิปไตย - ห้ามวิจารณ์รัฐบาล นะจ๊ะเด็กๆ

http://www.posttoday.com/การเมือง/319367/นายกฯ-ยัน-ห้ามพูดเรื่องปชต-วิจารณ์รัฐ 

สั้นๆจบปะ ห้ามพูดถึงประชาธิปไตย - ห้ามวิจารณ์รัฐบาล นะจ๊ะเด็กๆ

(ที่มา)
http://www.posttoday.com/การเมือง/319367/นายกฯ-ยัน-ห้ามพูดเรื่องปชต-วิจารณ์รัฐ 

"บิ๊กตู่"ลั่น!ไม่เลิกรายการวันศุกร์"คืนความสุขคนในชาติ"เตรียมผุดรายการวันหยุด

"บิ๊กตู่"ลั่น!ไม่เลิกรายการวันศุกร์"คืนความสุขคนในชาติ"เตรียมผุดรายการวันหยุด

 


Photo: ชาวไทยจงมีความสุขบัดเดี่ยวนี้

Admin Ao
Photo: จะพูดอย่างไรก็ได้ เพราะท่านห้ามท้วงห้ามวิพากษ์ จะจัดรายการพูดคนเดียวก็ตามใจ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411614714 

จะพูดอย่างไรก็ได้ เพราะท่านห้ามท้วงห้ามวิพากษ์ จะจัดรายการพูดคนเดียวก็ตามใจ

นายกรัฐมนตรี ระบุ ยังไม่ยกเลิกรายการคืนความสุขให้คนในชาติ พร้อมจะหาทางสื่อสารประชาชนเพิ่ม โดยเน้นแก้ปัญหาทั้งระบบที่ต้นเหตุ

(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411614714  

เวทีเดือด!รสนา-วีระ จวกพุทธะอิสระ จัดเวทีให้ปตท.ชี้แจง โวยปิยสวัสดิ์ด่าปชช."เห่าหอน"

เวทีเดือด!รสนา-วีระ จวกพุทธะอิสระ จัดเวทีให้ปตท.ชี้แจง โวยปิยสวัสดิ์ด่าปชช."เห่าหอน"


Photo: คนดีเขากัดกันเพราะผลประโยชน์ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากด่าคนอื่น น่าละอาย

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411543349 
"ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง" คนดีเขากัดกันเพราะผลประโยชน์ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากด่าคนอื่น น่าละอาย!

วันที่ 24 กันยายน การเสวนาถาม-ตอบปฎิรูปพลังงานเพื่อทิศทางของประเทศ วันนี้ที่สโมสรทหารบกถนนวิภาวดี บรรยากาศช่วงบ่ายยังคงเข้มข้นต่อเนื่อง โดยก่อนการเสวนา นางบุญยืน สิริธรรม อดีต ส.ว.สมุทรสงคราม ได้โวยวายกลางเวทีเสวนา ระบุว่าไม่พอใจที่ถูกคัดชื่อออกจากผู้ร่วมเสวนาบนเวที ทำให้พระพุทธะอิสระกล่าวขอให้สงบสติอารมณ์และให้อนุญาตให้ นางบุญยืนขึ้นมาบนเวทีได้

ทั้งนี้ในการเสวนาพระพุทธะอิสระ ต้องการให้ มีการเก็บพลังงานของประเทศไทย โดยเฉพาะพลังงานที่มาจากฟอสซิลเช่นน้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ ไว้ใช้ในอนาคต ส่วนเรื่องพลังงานทดแทนหรือพลังงานหมุนเวียนนั้น ต้องการให้มีส่งเสริมมากขึ้น โดยต้องคำนึงถึงวัตถุดิบในการผลิตและระบบการส่งพลังงานให้ประชาชนด้วย

ขณะที่ด้านของนายปิยสวัสดิ์อัมระนันท์ประธานกก.บริหาร บริษัท ปตท.กล่าวว่าการใช้พลังงานที่ได้จากฟอสซิล เช่นน้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ต้องมีการนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ในอนาคตจะมีการพัฒนาระบบพลังงานเป็นพลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิลอย่างแน่นอนแล้ว ส่วนเรื่องระบบส่งพลังงานนั้น ได้มีการประเมินศักยภาพของพื้นที่ต่างๆในการขยายสายส่งแล้ว

ภาษาไทยวันละคำ!

ภาษาไทยวันละคำ!



 

"มือถือสาก ปากถือศีล"  "ปากว่า ตาขยิบ"   "ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง"  "หน้าไหว้ หลังหลอก"  "ปากปราศัย น้ำใจเชือดคอ"


สำนวนสุภาษิตไทยเหล่านี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และลักษณะความเป็นไปของชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ ใน ณ ดินแดนแถบสุวรรณภูมิหรือลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้เป็นอย่างดี  นับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน  นั่นเพราะความหมายที่สะท้อนและแสดงออกถึงการกระทำและคำพูดที่มีลักษณะตรง ข้ามกัน หรือขัดแย้งกันเสมอมา  สุภาษิตส่วนใหญ่นี้ถูกจะใช้ไปเพื่ออบรมสั่งสอนหรือปกครองคนให้อยู่แต่ในกรอบ ที่ควรจะเป็น เสมือนหนึ่งเป็นคำสั่งสอนจากพ่อสู่ลูก การกล่าวอ้างคำศักดิ์สิทธิ์โดยคนชั้นปกครองนี้เป็นไปเพื่อใช้ควบคุมผู้อยู่ ใต้ปกครองให้อยู่ในโอวาท  หรือเป็นการสั่งสอนโดยผู้รู้  หรือผู้ที่ได้รับอาณัติจากสวรรค์  ที่เป็นการชี้นำให้สังคมโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่งตามที่กลุ่มของตนปรารถนา  แต่เมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไปก็ถูกใช้เป็นการกล่าวอ้างเพียงเพื่อรักษาประโยชน์ หรือมุ่งหาสิทธิพิเศษแห่งตน  หรือเป็นเพียงคำกล่าวอ้างเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจจากสังคมรอบข้าง ณ ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

สัมภาษณ์: ค่านิยม 12 ประการในทัศนะนักเรียนมัธยม

สัมภาษณ์: ค่านิยม 12 ประการในทัศนะนักเรียนมัธยม


 
ฟังเสียงนักเรียนมัธยม เรื่องค่านิยม 12 ประการ

กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งโดยนักเรียนมัธยมศึกษาเมื่อราวปลายปี 2556 ปัจจุบันมีสมาชิกราว 50 คน ไม่นับรวมเครือข่ายต่างจังหวัด กลุ่มเด็กเหล่านี้ทำกิจกรรมเสวนา ตั้งคำถามในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตนักเรียน เช่น การทวงถามการอนุญาตเรื่องทรงผม การรณรงค์ให้ยกเลิกการสอบยูเน็ต ฯลฯ

“หลังรัฐประหารเราจะจัดเสวนาเรื่องประชาธิปไตยในห้องเรียน แต่ปรากฏว่าเจ้าของสถานที่เขาไม่อนุญาต ได้ยินคำว่าประชาธิปไตยปุ๊บ แบนเลย” ณัฐนันท์เล่า