หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

กรรมาชีพ กองหน้าในการสร้างสังคมที่เท่าเทียม

กรรมาชีพ กองหน้าในการสร้างสังคมที่เท่าเทียม 


"ดังนั้นนักปฏิวัติที่ก้าวหน้าที่สุด เอาการเอางานมากที่สุด และมีวินัยมากที่สุด ต้องร่วมมือกันกับกลุ่มอื่นๆ... สร้างองค์กรใหม่ในรูปแบบพรรคการเมือง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทำงานการเมืองขยายแนวคิดปฏิวัติไปสู้กรรมมาชีพและนัก ศึกษาให้ได้มากที่สุด"

โดย วัฒนะ วรรณ

กรรมาชีพคือกองหน้า หาใช่เป็นคนชายขอบดั่งคำกล่าวอ้างของนักกิจกรรมบางคน กรรมาชีพเกิดมาพร้อมๆ กับระบบทุนนิยม ผลประโยชน์ของกรรมาชีพกับนายทุน ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ประนีประนอมกันไม่ได้ เมื่อนายทุนได้มาก กรรมาชีพย่อมได้น้อย เมื่อนายทุนได้น้อย กรรมาชีพย่อมได้มาก แต่มูลค่าแต่แรกที่เกิดขึ้นในระบบการผลิตเกิดขึ้นจากลงแรงของกรรมาชีพ ที่เปลี่ยนทรัพยากรธรรมชาติเป็นสินค้า หาใช่เกิดขึ้นจากนายทุน ถ้านายทุนหยุดงานกรรมาชีพก็ยังดำเนินการผลิตไปได้ แต่ถ้ากรรมาชีพหยุด ระบบการผลิตทั้งหมดก็จะหยุดไปด้วย กรรมาชีพจึงเปรียบเสมือนยืนอยู่ใจกลางการผลิตของระบบทุนนิยม
 
ระบบการเมืองของทุนนิยมบริหารงานโดย “คณะกรรมการบริหารผลประโยชน์ร่วมของชนชั้นนายทุน” ดังคำกล่าวของ มาร์คซ์และเองเกลส์ นั่นเท่ากับว่าเมื่อระบบการผลิตของกรรมาชีพหยุดทำงาน ชนชั้นปกครองเหล่านี้ก็ไม่สามารถมีอำนาจบริหารการเมืองได้อย่างง่ายๆ และถ้ากรรมาชีพเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตจากทุนนิยม ที่เน้นผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย มาเป็นระบบการผลิตสังคมนิยม ที่เน้นประโยชน์ของทุกคนในสังคมโดยเท่าเทียมกันแล้วละก็ ระบบชนชั้นที่มีผู้ปกครองเป็นคนส่วนน้อยก็จะหายไป นี่คือพลังของกรรมาชีพในระบบทุนนิยม

ภายใต้การเมืองประชาธิปไตยครึ่งใบหรือน้อยกว่านั้น ในสังคมไทย กรรมาชีพจำเป็นจะต้องเป็นกองหน้าในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย เต็มใบ โดยร่วมมือกับกลุ่มเสื้อแดงก้าวหน้า นักวิชาการอย่างนิติราษฎร์ เพราะการมีประชาธิปไตยเต็มใบ ย่อมดีกว่าเผด็จการ ในต่อสู้เปลี่ยนสังคมไปสู่สังคมนิยมที่ปลดปล่อยกรรมาชีพอย่างถาวรในระยะยาว

แต่การต่อสู้ของกรรมาชีพจำเป็นต้องมีองค์กรนำของตนเองในรูปแบบ
“พรรคปฏิวัติกรรมาชีพ” ที่ใช้แนวทางสังคมนิยมมาร์คซิสต์ เพราะเป้าหมายของเราคือการปลดปล่อยกรรมาชีพอย่างถาวร การต่อสู้แบบ “ลัทธิสหภาพ” ที่มุ่งเน้นแต่เพียงเรื่องปากท้องในกรอบของทุนนิยม จะไม่สามารถปลดปล่อยกรรมาชีพได้อย่างแท้จริง เพราะตราบใดที่ทุนนิยมยังอยู่ ชนชั้นก็ยังดำรงอยู่ การกดขี่ก็ต้องดำรงอยู่ควบคู่ไปด้วย

แต่ในรูปธรรมปัจจุบันเรายังไม่มีพรรคปฏิวัติกรรมาชีพ มีแต่องค์กรนำในกรอบของรัฐทุนนิยม เช่น สหพันธ์แรงงาน สภาแรงงาน ดังนั้นเราต้องช่วยกันคบคิดว่า องค์กรนำเช่นว่านี้ จะพัฒนาไปเป็นพรรคของกรรมาชีพได้หรือไม่ อย่างไร โดย ใจ อึ๊งภากรณ์ ได้ให้ความเห็นในประเด็นนี้ไว้ว่า...


“ปัญหาของการใช้สหภาพแรงงานเป็นองค์กรต่อสู้อย่างเดียว โดยไม่สร้างพรรค คือในประการแรกเขาไม่สามารถจัดตั้งกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนงาน เช่นนักศึกษา คนกลุ่มน้อย หรือคนที่อยากรณรงค์เรื่อง 112 เป็นต้น มันนำไปสู่การเน้นประเด็นการเมืองปากท้องอย่างเดียวด้วย ทั้งๆ ที่ในนามธรรมอาจกล่าวถึง “เลนิน”
    
ในประการที่สององค์กรสหภาพแรง งานต้องการรับทุกคนในสถานที่ทำงานเข้ามาเป็นสมาชิก ซึ่งแน่นอนรวมถึงคนที่มีความคิดฝ่ายขวาตามชนชั้นปกครองและคนที่ยังขี้เกียจ คิดอีกด้วย และแกนนำของสหภาพจะต้องปกป้องความสามัคคีภายในสหภาพระดับหนึ่ง เพราะกลัวว่าจะแพ้การเลือกตั้งและหลุดจากตำแหน่งในสหภาพ จึงไม่สามารถถกเถียงแนวคิดอย่างตรงไปตรงมาได้ ไม่เหมือนพรรคหรือกลุ่มการเมืองที่ทำงานภายในสหภาพ

ในประการที่สาม ถ้านักลัทธิสหภาพแบบนี้แพ้การเลือกตั้งเขาจะไม่มีองค์กรเหลือเลย ประเด็นนี้เป็นปัญหาด้วยเวลาคนงานไม่มีความมั่นใจในการต่อสู้ ไม่ยอมนัดหยุดงานในช่วงหนึ่ง กิจกรรมทางการเมืองก็ลดลง ไม่เหมือนพรรค

ใน ประการสุดท้ายสหภาพแรงงานไม่สามารถยึดอำนาจรัฐได้ เพราะเป็นองค์กรที่สร้างขึ้นมาเพื่อต่อรองกับนายจ้างในระบบทุนนิยม ไม่สามารถประสารทุกซีกทุกส่วนของสังคมที่ก้าวหน้าเพื่อยึดอำนาจรัฐ”

ไต่สวน 6 ศพวัดปทุม 2 พยานในเหตุการณ์คาดทหารยิง ไม่เห็นผู้ชุมนุมยิงต่อสู้

ไต่สวน 6 ศพวัดปทุม 2 พยานในเหตุการณ์คาดทหารยิง ไม่เห็นผู้ชุมนุมยิงต่อสู้

 



Posted Image

Posted Image

พยานยืนยันเห็นทหารบนรางรถไฟฟ้ายิงปชช.ในวัดปทุม
http://news.voicetv.co.th/thailand/48935.html


พยานยันเห็นทหารเล็งและยิงจากราง BTS อาสามงคล-อัครเดช-พยาบาลเกด ถูกยิงพร้อมกันในเต็นท์พยาบาลในวัดก่อนยิงได้ยินทหารตะโกน“กูให้มึงเลี้ยง ลูกเลี้ยงหลานอยู่กับบ้าน มาร่วมชุมนุมกันทำไม” พร้อมระบุไม่เห็นอาวุธและการยิงตอบโต้จากผู้ชุมนุม (มีคลิปประกอบ)

เมื่อวันที่ 30 ส.ค.55 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 402 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิต คดีหมายเลขดำที่ ช. 5/2555 กรณีการเสียชีวิตของนายสุวรรณ ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1,นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้เสียชีวิตที่ 2, นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ผู้เสียชีวิตที่ 3, นายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปี อาชีพพนักงานขับรถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4, น.ส.กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี อาชีพพยาบาลอาสา ผู้เสียชีวิตที่ 5 และ นายอัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้าง ผู้เสียชีวิตที่ 6 ซึ่งทั้ง 6 ศพ ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ใกล้แยกราชประสงค์ ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่ง ชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

โดยอัยการได้นำประจักษ์พยานในเหตุการณ์เข้าเบิกความ 2 ปาก ประกอบด้วย นายศักดิ์ชาย แซ่ลี้ อายุ 38 ปี และนายนายธวัช แสงทน หรือพระธวัช อายุ 50 ปี

นายศักดิ์ชาย แซ่ลี้ ในฐานะพยานเบิกความโดยสรุปว่าเข้าร่วมชุมนุมอยู่เต็นท์แดงชุมแพ 52 ซึ่งอยู่บริเวณหน้าวัดประทุมวนาราม ซึ่งมาเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. ตั้งแต่ มี.ค.ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ในวันที่ 19 พ.ค.53 หลังแกนนำ นปช.ประกาศยุติการชุมนุม และแจ้งให้ผู้ชุมนุมไปหลบภายในวัดหรือไปที่สนามกีฬาศุภชลาศัย หลังจากนั้นตัวพยานจึงได้เก็บของและหลบเข้าไปในวัดปทุม จนเวลาประมาณ 18.00 น. เห็นคนถูกยิงตรงเกาะกลางถนนหน้าประตูทางออกวัดปทุมฯ ซึ่งมาทราบภายหลังว่าบุคคลดังกล่าวคือนายอัฐชัย ชุมจันทร์(ผู้เสียชีวิตที่ 2) ขณะนั้นเห็นทหารถือปืนยาวอยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุม ตัวพยานจึงได้วิ่งไปอุ้มร่างนายอัฐชัย มายังเต็นท์พยาบาลในวัด หน้าสหกรณ์ และได้บอกพยาบาลแหวน หรือ ณัฐธิดา มีวังป่า ให้เข้ามาช่วย โดยพยาบาลแหวนได้ให้ พยาบาลเกด หรือ น.ส.กมนเกด อัคฮาด(ผู้เสียชีวิตที่ 5) นำถังออกซิเจนมาให้ผู้บาดเจ็บ แต่ออกซิเจนมีไม่เพียงพอ พยาบาลแหวนจึงปั้มหัวใจอยู่ประมาณ 10 นาที นายอัฐชัย จึงเสียชีวิต

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42445