หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คุยกับณัฐ : 112, คุก กับความหมายของการนอนตื่นสาย

คุยกับณัฐ : 112, คุก กับความหมายของการนอนตื่นสาย

 

Posted Image 

สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย นพพล อาชามาส

ณัฐ ชายหนุ่มอายุ 29 ปี เป็นคนกรุงเทพฯ พ่อฆ่าตัวตายตอนเขาอายุ 2 ขวบ เนื่องจากธุรกิจที่ทำล้มเหลว แม่ก็มาเป็นมะเร็งเสียชีวิตตอนเขาอายุ 22 ปี เหลือคนในครอบครัวเพียงน้องชายคนเดียว อาม่าที่เลี้ยงดูมา และญาติห่างๆ อีกบางส่วน ณัฐเคยไปเรียนทางด้านการเงินการธนาคาร แต่เลิกกลางคันไม่จบการศึกษา เนื่องจากนิสัยไม่ชอบห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก หันมาเอาดีทางการทำธุรกิจในโลกออนไลน์ (E-Commerce) และเริ่มสนใจการเมืองหลังการรัฐประหาร 2549 เพราะอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง อันนำไปสู่การติดตามข่าวสารทางการเมืองจากแหล่งต่างๆ 

ไม่เคยไปร่วมชุมนุมที่ไหนหรือยุ่งกับพรรคการเมืองใดๆ หากณัฐติดตามข่าวสารด้วยความกระตือรือร้น โดยเฉพาะจากเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน แหล่งรวมความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สำคัญเว็บหนึ่งในโลกออนไลน์เวลานั้น  จนกลางปี 2552 หลัง จากมีการเผยแพร่ลิงก์ของคลิปและภาพที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันในเว็บบอร์ด โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ณัฐได้ส่งลิงก์ดังกล่าวทางอีเมล์ไปให้เพื่อนชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ที่สเปน ซึ่งเขามีโอกาสรู้จักผ่านโลกอินเตอร์เน็ต 

ฝรั่งคนดังกล่าวซึ่งใช้นามแฝงว่า stoplesemajeste ได้นำคลิปดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อในเว็บไซต์ของตนเอง จนทางดีเอสไอและกระทรวงไอซีทีของไทยถึงกับส่งตำรวจติดตามไปสอบสวนฝรั่งคน นั้นถึงสเปน ด้วยนำสิ่งที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมขึ้นสู่ระบบ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากกฎหมายครอบคลุมไปไม่ถึงต่างประเทศ หากจากการสอบสวน ตำรวจก็ได้เข้าถึงอีเมล์ของฝรั่งคนนั้น จึงได้ติดตามมาถึงอีเมล์ของณัฐ ที่ส่งลิงค์มาจากเมืองไทย

13 ตุลาคม 2552 ดีเอสไอยกกำลังราว 10 คน มาจับเขาที่คอนโด โดยณัฐไม่ได้มีโอกาสรู้ล่วงหน้าว่าตนถูกกล่าวหาในเรื่องนี้ เขาเล่าฉากนั้นอย่างตื่นเต้นว่าบ่ายวันนั้น ได้ยินเสียงทุบประตูห้องตัวเอง ดังมากๆอย่างที่คนทั่วไปไม่น่าเคาะกัน เขาตอบรับ และเดินไปเปิดประตู ก็พบชายหญิงเป็น 10 คนยืนอยู่ข้างหน้า ในชุดแบบพนักงานออฟฟิศ หลังจากนั้นเขาก็อยู่ในอาการงุนงง เจ้าหน้าที่แสดงหมายอะไรสักอย่าง แล้วก็แจ้งว่าเขาได้ส่งคลิปที่มีเนื้อหาหมิ่นฯ และใช้คำเกี่ยวกับสถาบัน พอได้ฟังณัฐก็ตกใจ ก่อนที่จะถูกล็อคตัวแล้วใส่กุญแจมือ ตามด้วยการค้นห้องพักจนหมด พร้อมยึดเอกสาร ซีดี คอมพิวเตอร์ ไดอารี่ สมุดต่างๆ ไป

หลังจากถูกจับ เขาถูกนำตัวไปสอบสวนที่กรมสืบสวนคดีพิเศษ ตอนนั้นตำรวจแจ้งข้อหาตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ --ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบหรือเผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะลามก -- เพียง เท่านั้น ณัฐถูกสอบสวนและคุมตัวอยู่ที่ดีเอสไอนานสองคืน ถูกซักจากเจ้าหน้าที่เป็นวันๆ ตั้งแต่เรื่องวิธีการเข้าเว็บไซต์ วิธีการโพสต์ รวมทั้งต้องเปิดเผยการเข้าอีเมล์ของตนเองให้เจ้าหน้าที่ ก่อนถูกส่งตัวไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นอนอยู่ที่นั่นอีก 12 คืน ก่อนได้ประกันตัวในปลายเดือนตุลาคมนั้นเอง ด้วยเงินสด 2 แสนบาทที่ญาตินำมาช่วยประกัน

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai3.info/journal/2012/07/41834

ก้าวต่อไป ให้ถึงประชาธิปไตยสมบูรณ์

ก้าวต่อไป ให้ถึงประชาธิปไตยสมบูรณ์ 

 

 


สำหรับข้าพเจ้าแล้ว คิดว่าหนทางสู่ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ เพื่อก้าวสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้น ประเทศของเราจำเป็นต้องเป็น “รัฐสวัสดิการ” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทุกด้านเช่น การกระจายรายได้ การศึกษาของประชาชน สิ่งนี้ เป็นก้าวแรก(การเสนอสิ่งนี้ นายปรีดี เสนอในเค้าโครงการเศรษฐกิจ หรือสมุดปกเหลือง)

โดย Netiwit Ntw Junrasal 

การเปลี่ยนแปลงการปกครองบัดนี้ได้ล่วงมาสู่วาระแห่งการครบรอบ ๘๐ ปีแล้ว แต่ภาครัฐดูจะไม่ไยไพ ถ้าเป็นงานเกี่ยวกับเจ้าแล้วไซร้ มักจะประกาศล่วงหน้า และเตรียมการ จัดงานอย่างอลังการ ส่วนที่ไปข้องเกี่ยวกับราษฎร วันแห่งความเสมอภาคเจ้า-ไพร่ ดูจะหมดความสำคัญไปเลย หากไม่มีวันนี้ พวกลูกไพร่ จะได้เอาดีไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาเลยหรือ ก็หากปราศจากวันนี้ ผู้หญิงจะสามารถดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ละหรือ

วันที่ ๒๔ มิถุนายน ไม่ใช่เป็นเพียงการที่เจ้ากับไพร่เสมอกันเท่านั้น แต่ยังต้องการให้สังคมสยาม ก้าวเดินต่อไปให้ถึงสังคมพระศรีอาริย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการสร้าง “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ดังได้ประกาศอย่างชัดเจน อย่างรอบด้าน ในหลัก ๖ ประการ และนายปรีดี พนมยงค์ ก็พยายามจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม

ประชาธิปไตยของนายปรีดี นั่นหาใช่เพียงเป็น ประชาธิปไตยทางการเมือง เท่านั้น หากรวม “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ” ไปด้วย ดังที่ท่านพยายามคิดทำมรรควิธีนั้น นั่นคือร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ แต่มันก็ไม่สำเร็จเพราะฝ่ายอำนาจเก่า ใช้เล่ห์กล จนทำให้นายปรีดีต้องเดินทางออกนอกประเทศไป แม้ในปัจจุบันก็ตาม ฝ่ายอำนาจทั้งใหม่-เก่า ก็ยังจองล้างผลาญไม่ยอมให้อำนาจเป็นของราษฎรอย่างแท้จริง แสดงว่า เราประชาชนไม่ควรที่จะฝากความหวังไว้กับกลุ่มทุน พวกเราควรรวมพลังกัน กระตุ้นซึ่งกันและกัน เดินทางไปด้วยกัน ไปให้ถึง ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ดังนายปรีดี พนมยงค์ เคยได้ทำมาแล้ว

ก่อนอื่นใดขอให้พวกเรากลับมาหา ว่า สยามประเทศ เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ใช่ ถ้าเป็นประชาธิปไตยทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ใยจึงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างพร่ำเพรื่อ ใยมีการโกงกินคอรัปชั่นอย่างมากมาย และถ้าเป็นประชาธิปไตยจริง ทำไมคนบางคนที่เป็นคนเหมือนกัน กับได้อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นๆ ในประเทศมหาศาล โดยเงินเหล่านั้นเป็นเงินภาษีของประชาชนแทบทั้งสิ้น ทำไมช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในสังคมถึงห่างกันอย่างเหวลึกกับฟ้า สิ่งที่ยกมานี้จะพอสรุปได้ไหมว่า ประชาธิปไตยสยาม เป็นประชาธิปไตยเพียงรูปแบบ แต่เนื้อหาสาระหาเป็นดังนั้นไม่

วาทกรรม “ประชาธิปไตย” ถูกนำมาใช้อย่างพร่ำเพรื่อ เพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้อง ประชาชนก็ได้เพียงเศษส่วน ความจริงในข้อนี้ไม่ได้เป็นแค่ในสังคมสยามปัจจุบัน แต่รวมถึงประเทศต่างๆ ในโลกอีกมากคณานับ ไม่ต้องเอ่ยถึงคำอื่นๆ ด้วยก็ยังได้ ดังชื่อพรรคของเหล่านักการเมืองนั้น เนื้อหาสาระกับชื่อก็ต่างกันเลย ดังพรรคที่อ้างว่าตนเป็นพรรคเลเบอร์ พรรคเดโมแครต เป็นต้นนั้น เนื้อหาสาระตรงกับชื่อที่ตนนำมาใช้หรือเปล่า หรือเป็นการโกหกหลอกลวงประชาชน ไม่เท่านี้พรรคการเมืองต่างๆ ของโลกที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย อย่างสหรัฐอเมริกา เป็นต้น บรรษัทข้ามชาติยังได้เข้าไปมีส่วนควบคุมไปแล้วด้วย มิไยต้องกล่าวถึงสยามประเทศ

อนาคตดูจะรุ่งริ่ง กระนั้นก็ตามมนุษยชาติควรมีความหวัง ความหวังที่ว่าสักวันเราจะชนะ ก็เราจะชนะพวกนี้ได้อย่างไร ถ้าเราไม่สามารถที่จะชนะตัวเองเสียก่อน ชนะจากการเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ เมื่อปัจเจกชนตื่นขึ้นมาจากความลวงอันแสนสกปรก มุ่งหาความจริงที่เสมอภาคยุติธรรม เมื่อนั้นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวเอง ระบบวิธีคิด แสวงหาทางเลือกจากสังคมอันเลวร้าย การรวมกลุ่มกันเป็นขบวนการเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม มันไม่ใช่ความฝัน หรืออุดมคติจนไม่อาจเป็นไปได้ ขบวนการทั่วโลกเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ความยุติธรรมและระบบนิเวศน์ เกิดขึ้นทั่วโลก (หารายละเอียดอ่านเกี่ยวกับขบวนการเหล่านี้ได้จากหนังสือของ Paul Hawken) ในขณะนี้ที่เด่นชัดคือ Occupy Movement ในสยามขณะนี้ก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย ขบวนการทางการเมืองเพื่อความเสมอภาคและความยุติธรรม ขบวนการท้องถิ่น ขบวนการสิ่งแวดล้อม การอภิปราย การถกเถียงอย่างจริงจังเพื่ออนาคตของสังคมสยาม มีตลอดทุกเดือนทั้งปี

นิสิต นักศึกษาจากหลากมหาวิทยาลัย หลากหลายกลุ่ม ก็ได้ทำและกำลังทำกิจกรรมปลุกจิตสำนึกมโนธรรมของเหล่านิสิตนักศึกษาให้หันไป สนใจสังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งในสังคมสยาม และสังคมโลกเอง เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นเหตุบังเอิญแต่อย่างใด หากมีปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งก่อให้เกิด โดยในขณะนี้แม้กลุ่มต่างๆ จะเล่นประเด็นเดียวบ้าง แต่การตั้งกลุ่มศึกษา รับฟัง เปิดกว้าง สนทนากันอย่างจริงจัง ก็ทำให้หลากหลายกลุ่มเริ่มสนใจถึงกระบวนทัศน์ “ความเป็นองค์รวม” ความสัมพันธ์กันของสรรพสิ่ง แสวงหาวิธีการนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและยุติธรรม ร่วมกัน

เวลานี้ ประชาชนกำลังก้าวเดินไปข้างหน้า ขณะที่นักการเมืองและกลุ่มทุนก็เริ่มตระหนักถึงพลังดังกล่าว ซ้ำสื่อสังคม ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนสามารถรวมกลุ่มกันใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบกลุ่มเหล่า นี้ กลุ่มทุนจึงพยายามขัดขวางความงอกเงยด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ และการร่วมมือกับนักการเมือง สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ในตอนนี้คือการนำเรื่องเหล่านี้มาคิดร่วมกันอย่าง จริงจัง นำประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว คิดว่าหนทางสู่ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ เพื่อก้าวสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้น ประเทศของเราจำเป็นต้องเป็น “รัฐสวัสดิการ” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทุกด้านเช่น การกระจายรายได้ การศึกษาของประชาชน สิ่งนี้ เป็นก้าวแรก(การเสนอสิ่งนี้ นายปรีดี เสนอในเค้าโครงการเศรษฐกิจ หรือสมุดปกเหลือง) และต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาจิตวิญญาณ ความอ่อนโยน ความเคารพในสิ่งแวดล้อม การพัฒนาที่ยั่งยืน และยึดหลัก “ปลอดภัยไว้ก่อน” ถ้าพวกเราร่วมมือกันศึกษา ถกเถียง อภิปราย และแสวงหาหนทางการลงมือทำให้เกิดขึ้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ก็ใกล้ความเป็นจริงขึ้นมา แล้วเหล่าผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะราษฎร “ผู้ทำทาง” เมื่อ ๘๐ปีที่แล้ว คงอนุโมทนากับการกระทำของพวกเรา

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2012/07/blog-post_31.html

The Daily Dose 12กค55

The Daily Dose 12กค55

 

(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=Zmdc6twgBuQ

ที่นี่ความจริง 31กค55

ที่นี่ความจริง 31กค55 

 

 
(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=-Eh_2NU8bHY&feature=player_embedded#!

คนงานไฟฟ้านิวยอร์ค 8,500 คนถูกปิดงาน

คนงานไฟฟ้านิวยอร์ค 8,500 คนถูกปิดงาน


Rally at Con Edison in New York CIty


31 ก.ค. 55 - IndustriALL แจ้งข่าวสารเรื่องการปิดงานคนงานไฟฟ้า 8,500 คนที่นิวยอร์ค คนงานเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน UWUA  คนงานไฟฟ้าถูกปิดงานมาแล้ว 1 เดือนโดยบริษัท Consolidated Edison ซึ่งเป็นบริษัทอุตสาหกรรมไฟฟ้าและแก๊ส  บริษัทปิดงานคนงานเพื่อบังคับให้คนงานยอมรับการยกเลิกสวัสดิการเกษียรอายุ สำหรับพนักงานใหม่และให้คนงานจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง ในขณะที่บริษัททำกำไรมากกว่าพันล้านดอลล่าห์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว

(ดูเพิ่มเติม http://www.industriall-union.org/8500-utility-workers-locked-out-in-new-york)


ด้าน Jyrki Raina เลขาธิการ IndustriALL เรียกร้องให้สมาชิกทั่วโลกส่งจดหมายถึงสหภาพแรงงาน UWUA เพื่อแสดงความสมานฉันท์ และจดหมายประท้วงไปที่บริษัท Consolidated Edison

โดยสามารถใช้จดหมายตัวอย่างในไฟล์แนบ สำหรับการร่างจดหมายเพื่อส่งข้อความสมานฉันท์ไปยังสหภาพแรงงาน UWUA สาขา 1-2 New York


https://docs.google.com/open?id=0B97eeQltIv8ZQ0R5d1RsUjhtVk0
https://docs.google.com/file/d/0B97eeQltIv8ZVzFBNkNaZVlkbWM/edit?pli=1

(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/07/41823 

เครือข่ายพลเมืองเน็ตเปิดต้นทุน "เซ็นเซอร์เว็บ" ร่วม 140 ล้านต่อปี

เครือข่ายพลเมืองเน็ตเปิดต้นทุน "เซ็นเซอร์เว็บ" ร่วม 140 ล้านต่อปี




สฤณี อาชวานันทกุล เผยผลงานวิจัย พบต้นทุนเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต เฉพาะกระทรวงไอซีที ใช้จ่ายกว่า 139 ล้านบาท ขณะภาคเอกชน ใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อราย ยังไม่รวมต้นทุนในการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการ-ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คอมฯ อาทิ ค่าดำเนินการด้านคดีความ การใช้จ่ายในการเก็บล็อกไฟล์

(31 ก.ค.55) ในการประชุมว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและสิทธิพลเมือง ประจำปี 2555 ในหัวข้อ "อินเทอร์เน็ตกับการจัดทำนโยบายสาธารณะ" ที่ไทยพีบีเอส สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าคณะวิจัยโครงการ "ราคาของการเซ็นเซอร์: มุมมองทางเศรษฐศาสตร์" ภายใต้ความร่วมมือของเครือข่ายพลเมืองเน็ตร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงผลวิจัยในเบื้องต้นโดยระบุว่า ประเทศไทยมีการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตสูงมาก เห็นได้จากอันดับเสรีภาพสื่อโลกของไทยที่จัดอันดับโดยองค์การผู้สื่อข่าวไร้ พรมแดนที่ลดอันดับลง ขณะที่ต้นทุนของการปิดกั้นยังไม่เคยมีการพูดถึงกันเลย งานวิจัยนี้จะดูที่ต้นทุนของภาครัฐและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตใช้ในการปิด กั้น

สำหรับภาครัฐ กระทรวงไอซีทีไม่เปิดเผยงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการปิดกั้น แต่จากการศึกษาเอกสารงบประมาณและรายงานการจัดซื้อจัดจ้าง พบว่า กระทรวงไอซีทีน่าจะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตไม่ ต่ำกว่าปีละประมาณ 139 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/07/41822

"พลเมืองเน็ต" เสนอแก้นิยาม "พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์" อย่ายุ่งเนื้อหา

"พลเมืองเน็ต" เสนอแก้นิยาม "พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์" อย่ายุ่งเนื้อหา

 

เสนอแก้นิยามของ "ข้อมูลคอมพิวเตอร์" ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ให้จำกัดเฉพาะข้อมูลที่คอมพิวเตอร์อ่าน กังวลรัฐไทยนอกจากกดดันด้านกฎหมายแล้ว ยังร่วมมือกับต่างประเทศ เพิ่มอำนาจดีเอสไอในการดักข้อมูล และสนใจการกรองการสื่อสารทางเสียงด้วย


(31 ก.ค.55) ในการประชุมว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและสิทธิพลเมือง ประจำปี 2555 “อินเทอร์เน็ตกับการจัดทำนโยายสาธารณะ”  ที่ไทยพีบีเอส อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวถึงข้อเสนอของเครือข่ายฯ ในการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ว่า ให้แก้ไขมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยนิยามของข้อมูลคอมพิวเตอร์ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ต้องเป็นข้อมูลสำหรับคอมพิวเตอร์อ่าน ไม่ใช่สำหรับมนุษย์อ่าน

โดยการเสนอเช่นนี้จะจำกัดข้อมูลคอมพิวเตอร์ให้หมายถึงเฉพาะโปรแกรม คอมพิวเตอร์ และข้อมูลสำหรับการควบคุมระบบเท่านั้น ไม่รวมเนื้อหา ในรูปแบบภาพหรือเสียงที่คนรับแล้วเข้าใจ ซึ่งในทางปฏิบัติอาจส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อมาตรา 16 แต่จะทำให้การเผยแพร่ข้อมูลตามมาตรา 14-16 ถูกจำกัดโดยอัตโนมัติ

อาทิตย์กล่าวว่า เมื่อกลับไปดูสรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมาธิการปี 2549 ที่ สนช.กำลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมฯ จะพบว่าฐานคิดเดิมพูดถึงการกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่เป็นการดักฟังข้อมูล ไวรัส โทรจัน ทำสำเนาตัวเองจำนวนมาก (worm) สปายแวร์ โปรแกรมแก้ไขข้อมูล แปลงหมายเลขชื่อต้นทาง ส่งอีเมลหลอก เรียกข้อมูลถี่ (DDos) ซึ่งเมื่อข้อมูลเหล่านั้นเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะมีผลต่อสาธารณะในวงกว้าง เช่น ไวรัสติดเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว แต่เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีข้อมูลสำคัญ เช่น จราจร โรงไฟฟ้า ก็จะส่งผลกระทบในวงกว้าง จึงเข้าใจได้ว่าเป็นอาญาแผ่นดินที่ไม่สามารถยอมความไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการรวมเรื่องเนื้อหาต่อบุคคล ในฐานความผิดเรื่องเนื้อหา กลับยังคงโทษอาญาแผ่นดินที่ยอมความไม่ได้เอาไว้ จึงเสนอให้กลับไปที่ความตั้งใจเดิม เพื่อแก้ปัญหานี้

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/07/41824

อนาจ! ตุลาการดับเครื่องชนประชาชนที่เขาหมดศรัทธา

อนาจ! ตุลาการดับเครื่องชนประชาชนที่เขาหมดศรัทธา

 



ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ และนายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงข่าวกรณีการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม เพื่อกล่าวโทษแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็น ส.ส.พท. และกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีพฤติกรรมโจมตี ผลักดัน ข่มขู่ คุกคามการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระหว่างรับ 5 คำร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ไว้พิจารณา และหลังอ่านคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา จำนวน 6 ข้อกล่าวหา

@ ′เจ๋ง-ก่อแก้ว-จ่าประสิทธิ์′ไม่รอด

นายสมฤทธิ์กล่าวว่า สำนักงานศาลรัฐธรรม นูญได้กล่าวโทษบุคคลต่างๆ ประกอบด้วย 1.นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก แกนนำ นปช.และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 2.นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พท. 3.จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ แกนนำ นปช. และ ส.ส.สุรินทร์ พท. 4.นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์

@ โกตี๋พร้อมพวก26คน-แจ้งเท็จ

นายสมฤทธิ์กล่าวว่า 5.กล่าวโทษกลุ่มบุคคลประกอบด้วย 1.นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ กับพวกรวม 26 คน ได้แก่ 2.นายมาลัยรักษ์ ทองชัย 3.นางสาวเพ็ญสุดา สินธุญา 4.นางสาวนวพร ประเสริฐอำนวย 5.นายวิสันต์ บุญประกอบ 6.นางสาวสุวรรณ แสงรัตน์ 7.นาย วันชัย สหกิจ 8.นางสาวสุพร แซ่จึง 9.นายไพโรจน์ ทิพวารี 10.นางสาวปราณี ปรางทอง 11.นายอิทธิวัฒน์ อนุวัตรวิมล 12.นายถนอม สุทธินันท์ 13.นายปาน พลหาญ 14.นายแดง บำเพ็ญสิน 15.นายมะลิ หอระดาน 16.นาย สุรเดช บัณดิต 17.นางสาวนันทกา อินทรานนท์ 18.นายคิรินทร์ ทุมพันธ์ 19.นายไพร๊อท ภูกาน 20.นายธีรชัย อุตรวิเชียร 21.ว่าที่ ร.ต.ณราสิน ศรีสันต์ 22.นางสาวสำเนียง นาคพิทักษ์ 23.นางเวียง ศรีคร้าม 24.นายสมศักดิ์ นาคา 25.นายศุภชัย ตระกูลธนกร และ 26.นายสุริน เพ็ชรรัตน์ ในข้อหาร่วมกันแจ้งความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 173 และ 174 เหตุเกิดที่สถานีตำรวจคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม

@ ยันกล่าวโทษป้องตุลาการฯ

6.นายวุฒิพงศ์และพวกไม่ทราบชื่อ จำนวนประมาณ 50 คน ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และดูหมิ่นการพิจารณาหรือคำพิพากษา เหตุเกิดบริเวณหน้าอาคารศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม

นายพิมลกล่าวว่า ยืนยันว่าการดำเนินการกล่าวโทษกับบุคคลดังกล่าว ไม่ได้ต้องการที่จะมุ่งร้ายผู้อื่น แต่เป็นการดำเนินการตามพฤติกรรมที่บุคคลดังกล่าวแสดงออกมาที่หยาบคาย ดังนั้น สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องมาการดำเนิน การกล่าวโทษบุคคลดังกล่าว เพื่อปกป้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการปฏิบัติหน้าที่

(อ่านต่อ)

  
ศาลตัดสินจำคุก"พร้อมพงศ์"โฆษกเพื่อไทย-ส.ส.อุดรธานี พท. หมิ่นประธานศาลรัฐธรรมนูญ



เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษา ในคดีที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และนายเกียรติ์อุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาจากกรณีเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 ที่นายพร้อมพงศ์ และนายเกียรติ์อุดม ร่วมกันแถลงข่าวกล่าวหา ความประธานศาลรัฐธรรมนูญ ว่าประพฤติตนไม่เหมาะสม ไม่น่าเชื่อถือ ขัดต่อจริยธรรมของตุลาการ ขาดความยุติธรรมและขาดความเป็นก​ลาง เป็นเหตุให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็น​ว่า นายพร้อมพงศ์ และนายเกียรติ์อุดม ไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ครบก่อนการแ​ถลงข่าว เห็นว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโ​ดยไม่สุจริตหวังผลทางการเมือง ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียจึงพิพากษา นายพร้อมพงศ์ และนายเกียรติ์อุดม คนละ 1 ปี ปรับ 50,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษมาก่อน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปีและลงโฆษณาโดยย่อในหนังสือพิม​พ์จำนวน 3 ฉบับ เป็นเวลา 7 วัน


(ที่มา) 
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1343704807&grpid=00&catid=00&utm_source=MatichonOnline&utm_medium=MatichonOnline

ยื่นไม่ไว้วางใจรายคน เล็งถล่ม"ปู" ศาลรธน.ลุยฟัน80แดง แจ้งป.เอาผิด6ข้อหา ข่มขู่คุกคาม-แจ้งเท็จ

ยื่นไม่ไว้วางใจรายคน เล็งถล่ม"ปู" ศาลรธน.ลุยฟัน80แดง แจ้งป.เอาผิด6ข้อหา ข่มขู่คุกคาม-แจ้งเท็จ

 

 

ปชป.ส่งซิกจองกฐินซักฟอก′ปู′ราย แรก นายกฯเสนอเลขาฯกฤษฎีกายื่นศาล รธน.เคลียร์คำวินิจฉัยแย้งกันเอง ′เฉลิม′จัดโปรมแกรมเดินสายแจงแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ฟ้องแกนนำ-คนเสื้อแดง 80 คน ′เจ๋ง-ก่อแก้ว- จ่าประสิทธิ์′โดนด้วย

@ ′ปู′เสนอกฤษฎีกาถามศาลรธน.  


เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (มรภ.สุรินทร์) ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จังหวัดสุรินทร์ มีการหารือถึงถึงความชัดเจนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการคณะกรรม การกฤษฎีกา ได้รายงานว่า โดยหลักแล้วคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องออกก่อนคำวินิจฉัยกลาง แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับเปิดส่วนกลางก่อน แล้วมาเปิดส่วนตนภายหลัง คำวินิจฉัยจึงขัดแย้งกันเอง โดยใน 8 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มี 4 คนแรกคำวินิจฉัยชัดเจนไม่มีปัญหา ส่วน 4 คนหลังมองว่าไม่ได้มีการวินิจฉัย

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้เสนอแนะว่า หากเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาสงสัยในคำวินิจฉัย ขอทำหนังสือไปถามจนสิ้นข้อสงสัยเพื่อให้เกิดความชัดเจน ซึ่งในที่ประชุมยังพูดล้อเล่นกันว่า เป็นการส่งหนังสือไปทวงถามให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำวินิจฉัยอีกที ขณะที่ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเห็นคล้ายกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้เห็นว่าท่าทีในการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลจะไม่เร่งรีบแล้ว

@ นายกฯขอเวลาศึกษาคำวินิจฉัย

น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม. ว่า เนื่องจากคำวิฉัยกลางและ คำวินิจฉัยส่วนตนที่ออกมา มีบางประเด็นที่ยังไม่เหมือนและสอดคล้องกัน ทางกฤษฎีกาได้ขอเวลาในการศึกษา คณะรัฐมนตรีเองจึงมีมติเห็นชอบให้มีการศึกษาอย่างครบถ้วนเพื่อนำเสนอ ครม.อีกครั้ง ขณะเดียวกัน ครม.มีความเห็นว่าในเรื่องของการมีส่วนร่วมของประชาชนไม่ควรจะรอ จึงมีมติเห็นชอบให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) หากระบวนการในการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อที่จะทำความเข้าใจและ เห็นพ้องต้องกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่เป็นกระบวนการการมีส่วนร่วมคือกระบวน การสอบถาม เพราะขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปทางด้านข้อกฏหมาย

@ ใช้กลไกมท.ทำความเข้าใจปชช.

ผู้ สื่อข่าวถามถึงลักษณะการมีส่วนร่วมนั้นรูปแบบเป็นอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่หลักการคืออาจจะให้นักวิชาการหรือกลไกของกระทรวงมหาดไทยในการรับฟังความ คิดเห็นของประชาชน

เมื่อถามว่า ตั้งกรอบเวลาไว้อย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ยังไม่มีการตั้งกรอบ อาศัยหลักความเข้าใจเป็นสำคัญ ส่วนจะเป็นการเปิดเวทีในแต่ละจังหวัดหรือไม่ ยังไม่ทราบ แต่ก็อาจเป็นไปได้ หรืออาจจะเป็นการหารือ สัมมนาวิชาการ มอบหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งในการที่จะสอบถามความคิดเห็น โดยจะให้กระทรวงมหาด ไทยไปหารือกัน

@ สั่งศึกษาหากลไกปชช.มีส่วนร่วม

น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ระหว่างการประชุม ครม. เลขาธิการกฤษฎีการะบุว่าหลังจากที่ได้อ่านคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วน ตนแล้ว พบว่ายังมีบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน ครม.เห็นว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน จึงมอบให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไปศึกษาและพิจารณาเพื่อหาข้อยุติของความหมายข้อ วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนที่สุด และในระหว่างรอผล นายกฯได้มอบหมายนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปศึกษาหากลไกในการให้ประชาชนมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างเสริม ความสมดุลของทั้งสามอำนาจในรัฐธรรมนูญ 


(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1343706456&grpid=00&catid=&subcatid=

ร่วมกันทำลายล้างระบอบทุนนิยมเพื่อรักษาโลก

ร่วมกันทำลายล้างระบอบทุนนิยมเพื่อรักษาโลก

 


 

คลื่นประชาชนปฏิวัติแผ่ขยายไปทั่วโลก...ทำให้ฝ่ายขวา อนุรักษ์นิยม ดิ้นรนสุดขีด

Wake Up Thailand 31กค55

Wake Up Thailand 31กค55



(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=_nrZJR7vLms&feature=player_embedded#!

"ขุนค้อน" พลิกลิ้น ไม่เจราจาถอนร่างปรองดอง ปัดไม่ใช่หน้าที่ ปธ.สภาฯ ยัน "แม้ว" ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง

"ขุนค้อน" พลิกลิ้น ไม่เจราจาถอนร่างปรองดอง ปัดไม่ใช่หน้าที่ ปธ.สภาฯ ยัน "แม้ว" ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง


 

เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 31 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมคณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร ถึงกรณีที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) จะเข้าพบเพื่อหารือการถอนร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ  ว่า ไม่เคยให้สัมภาษณ์ว่าจะถอนร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ  และไม่เคยไปพูดคุยกับผู้เสนอญัตติทั้ง 4 ร่าง เพื่อให้ถอนเรื่องดังกล่าว มีแต่พูดว่าจะต้องมีการสานเสวนาก่อนเพื่อหาทางออก และค่อยไปหารือกับคนที่เกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในพรรค นักข่าวถามตนว่าจะไปคุยกับพล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน   หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ  หรือไม่ ตนก็ตอบว่า น่าจะมีการไปหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เรื่องการถอนร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ ไม่ใช่หน้าที่ของประธานสภาฯ ตนพูดมาตลอด ในความเห็นส่วนตัว ควรให้ยื้อ พ.ร.บ.ปรองดองฯออกไปก่อน

เมื่อถามว่า การพลิกบทบาทแบบนี้ เพราะได้รับคำสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายสมศักดิ์  กล่าวว่า ไม่ได้พลิกบทบาท และตนก็ย้ำมาตลอดเหมือนเดิมไม่ได้พูด ก็ไม่เข้าใจว่าสื่อเอาไปลงแบบนั้นได้อย่างไร 

เมื่อถามต่อว่าหากมีการเดินหน้าพ.ร.บ.ปรองดองฯต่อไป จะทำให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนทำตามหน้าที่ เมื่อมีผู้เสนอเรื่องเข้ามาก็บรรจุในวาระการประชุมเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจไปสั่งใครได้ อีกทั้งอำนาจในการถอน ก็เป็นอำนาจของที่ประชุม ต้องทำความเข้าใจกับสมาชิกก่อน เพื่อให้เขาเห็นด้วย แต่ถ้าไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่องของประชาธิปไตย 


(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1343711707&grpid=00&catid=&subcatid=