หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

แดงสังคมนิยม


ถึงเวลาที่เราต้องสร้างวัฒนธรรมพลเมือง

เนื่องจากปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งความคลั่งในการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และเป็นปีแห่งการถกเถียงกันอย่างหนักในเรื่องนี้ เราควรเริ่มปี ๒๕๕๕ ด้วยการตั้งเป้าหมายเพื่อสร้าง “วัฒนธรรมพลเมือง” ในประเทศไทย


วัฒนธรรมพลเมืองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งถ้าเราจะมีประชาธิปไตยและสิทธิ เสรีภาพในโลกสมัยใหม่ เพราะวัฒนธรรมพลเมืองตั้งอยู่บนรากฐานความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพ ความโปร่งใส และสิทธิในการตรวจสอบบุคคลสาธารณะ มันตรงข้ามกับ “วัฒนธรรมไทยเป็นทาส” ที่เต็มไปด้วยเผด็จการและการหมอบคลาน 

ทั้งๆ ที่นักวิชาการ “เสรีนิยม” และคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน ภาคประชาชนใน ไทยจำนวนมาก เคยชอบท่องสูตรเรื่องความสำคัญของประชาธิปไตย ความโปร่งใส เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการเลือกผู้แทน และสิทธิในการตรวจสอบการทำงานของผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ เพื่อให้มีการรับผิดชอบ ตามที่เคยชอบพูดกันถึง transparency กับ accountability ใน สมัยร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ แต่พอมาถึงยุครัฐประหาร ๑๙ กันยา และการใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย และโดยเฉพาะการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองของอำมาตย์ ปรากฏว่านักวิชาการเสรีนิยมและคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ภาคประชาชน” เหล่านั้น ก็เพิกเฉยต่อสิ่งที่ตนเองเคยท่องมาในยุคก่อน

ที่แย่กว่านั้นคือพวกนี้เพิกเฉยต่อการอ้างอำนาจผูกขาดโดยอำมาตย์ในการกำหนด “วัฒนธรรมไทย” ตามแนวคิดไดโนเสายุคหินอีกด้วย ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่างในรูปแบบการพูดของผบทบ.ประยุทธ์หรือสส.พรรคประชา ธิปัตย์ในทำนองว่า การแก้หรือยกเลิกกฏหมายหมิ่นฯ 112 “ขัดกับวัฒนธรรมไทย” ซึ่งเป็นการเสนอว่าวัฒนธรรมไทยคือวัฒนธรรมแบบไพร่กับนาย ไม่ใช่วัฒนธรรมพลเมือง เขากำลังเสนอว่า “ความเป็นไทยคือความเป็นทาสสำหรับคนส่วนใหญ่” และมันเป็นการดูถูกเหยียดหยามการที่พลเมืองธรรมดาของไทยจำนวนมาก เคยต่อสู้และเสียสละเลือดเนื้ออย่างต่อเนื่องเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิ เสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็น ๒๔๗๕ ๑๔ตุลา ๖ ตุลา สงครามของพคท. พฤษภา๓๕ หรือการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา

ในความเป็นจริง ไม่ว่านายพล นักการเมือง หรืออภิสิทธิ์ชนคนไหนจะหลงตนเองแค่ไหน แต่เขาหรือบุคคลอื่นที่อ้างตัวเป็นใหญ่ ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมได้ เพราะวัฒนธรรมมาจากความยินยอมและการร่วมปฏิบัติของคนจำนวนมาก ซึ่งแปลว่าไม่มีวัฒนธรรมเดียวในสังคมไทย มีแต่หลากหลายวัฒนธรรมที่แข่งกันเพื่อครองใจคน

วัฒนธรรมทาสที่ฝ่ายอำมาตย์อ้างว่าเป็น “วัฒนธรรมไทย” เป็นแค่วัฒนธรรมกดขี่ประชาชนของชนชั้นปกครองเท่านั้น วัฒนธรรมทาสนี้บังคับให้ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ต้องคลานกับพื้น เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเหมือนสัตว์และต่ำกว่ามนุษย์ แต่ในสังคมไทยวัฒนธรรมที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมทาสนี้คือวัฒนธรรมพลเมือง ที่คนธรรมดาเริ่มชื่นชมมากขึ้นทุกวัน

ปัญหาของ กฏหมายหมิ่นฯ 112 คือมันเป็นกฏหมายที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมพลเมืองโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการบังคับไม่ให้สังคมไทยมีประชาธิปไตย ความเสมอภาค ความโปร่งใส และการตรวจสอบผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ 


นอกจากนี้แล้วการปิดปากประชาชนที่เกิดขึ้นจากกฏหมายนี้ เปิดทางให้มีการใช้ความรุนแรงในการล้มประชาธิปไตย หรือในการเข่นฆ่าผู้ที่เรียกร้องประชาธิปไตยภายใต้ข้ออ้างของทหารว่ากำลัง “ปกป้องสถาบันเบื้องสูง"

กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นการเปิดทางไปสู่สองมาตรฐานทางกฏหมายที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้อีกด้วย ลองดูว่าตอนนี้ใครในสังคมไทยติดคุกหรือติดคดีที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตการเมือง ปัจจุบันบ้าง มีแต่คนระดับล่างที่เป็นเสื้อแดง ในขณะที่นายพลและนักการเมืองที่สั่งฆ่าประชาชนลอยนวลหมด แต่มันยิ่งแย่กว่านั้นอีก เพราะไม่ต้องพูดถึงแค่คดีการเมือง เมื่อดูคดีฆาตกรรมส่วนตัวปัจเจก จะเห็นว่า “คนมีเส้น” มักหลีกเลี่ยงคุกได้อย่างสบาย และแม้แต่ในศาลไทย พวกผู้พิพากษาไม่มีจิตสำนึกประชาธิปไตยพอที่จะมองว่าต้องอ่านคำตัดสินคดีให้ ผู้ต้องหาฟัง บางครั้งไม่ลงมาในศาลด้วย แค่ใช้โทรทัศน์วงจรปิด และผู้ต้องหามักจะถูกบังคับให้แต่งชุดนักโทษก่อนตัดสินคดี ซึ่งเป็นการละเมิดหลักว่าทุกคนต้องบริสุทธิ์ก่อนตัดสินคดี และความอยุติธรรมทั้งหมดนี้ปกป้องด้วยกฏหมายหมิ่นศาลแบบ 112 ที่ปิดปากประชาชนไม่ให้ตรวจสอบศาลได้


สรุปแล้ว ถ้าไม่มีวัฒนธรรมพลเมือง ที่มองว่าพลเมืองมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในกระบวนการศาล และมีสิทธิ์ที่จะมีส่วนร่วมเต็มที่ในกระบวนการยุติธรรม จะไม่มีวันมีความยุติธรรมในสังคมไทยเลย

กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายเผด็จการที่พยายามสร้างวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” กฏหมายนี้สวนทางกับวัฒนธรรม “ไทยเป็นพลเมือง” ที่คนไทยจำนวนมากเริ่มชื่นชม


กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปกป้องไม่ให้คน “ด่าในหลวง” คนที่เสนอแบบนี้เป็นคนโกหกสังคม เพราะกฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายที่ปกป้องทหาร และปกป้องชนชั้นปกครองไทยทั้งหมดต่างหาก กฏหมายอื่นที่พอจะปกป้องคนไทยทุกคนจากการถูกด่าหรือกล่าวหาเท็จ คือกฏหมายหมิ่นประมาทธรรมดา


กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เรา “พูดเรื่องในหลวง” ด้วย เพราะเป็นกฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เราพูดคุยถกเถียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ทหารเผด็จการกับสถาบันกษัตริย์ต่างหาก จนคนไทยจำนวนมากในยุคปัจจุบันหลงเชื่อคำโฆษณาอ้อมๆ ของทหาร และนักการเมือง ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 

ประเทศไทยไม่ได้ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ปกครองด้วยระบบ “รัฐซ้อนรัฐบาล” ที่ทหาร ข้าราชการชั้นสูง นายทุน และนักการเมืองอาวุโส มีอำนาจนอกและเหนือรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนั้นมีการแอบอ้างสร้างความชอบธรรมทั้งปวงจากสถาบันกษัตริย์ พร้อมกับปกป้องระบบรัฐซ้อนรัฐบาลด้วยกฏหมายหมิ่นฯ 112 เพราะทุกอย่างอ้างว่า “ทำไปเพื่อปกป้องสถาบันเบื้องสูง” ดังนั้นถ้าใครแย้งหรือตั้งคำถามกับระบบนี้จะ “ถือว่าผิด 112”


เราจะเห็นได้ว่าการตั้งคำถามกับการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา ว่าทำไมต้องแอบอ้างสถาบันกษัตริย์ ทำไมต้องผูกโบสีเหลืองบนปืนและเครื่องแบบทหาร หรือการตั้งคำถามว่าประมุขในระบบประชาธิปไตยควรปกป้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย หรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่พลเมืองทุกคนควรมีส่วนร่วมในการถาม เพื่อความโปร่งใสและการรับผิดชอบ ล้วนแต่กลายเป็นคำถามที่ถูกอำมาตย์นิยามว่า “หมิ่น” ตามกฏหมายหมิ่นฯ 112 


กฏหมายหมิ่นฯ 112 นำไปสู่การอ้างอภิสิทธิ์พิเศษของพวกนายพลในการฆ่าคนที่คิดต่างจากตนเองอีก ด้วย เพราะมีการประโคมข่าวว่าพวกที่โดนยิงเป็นพวก “ล้มเจ้า”


ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับ ประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะค้นพบว่าทหารไม่ได้รับใช้กษัตริย์ แต่รับใช้ตนเองมากกว่า นี่คือสาเหตุที่ทหารอยากปกป้องกฏหมายหมิ่นฯ 112 แบบสุดชีวิต


ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับ ประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะพบว่าบุคคลในพระราชวังไม่ได้มีส่วนในการสั่งฆ่าประชาชน เมื่อปี ๒๕๕๓ แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่คนไทยจำนวนมากในปัจจุบันเข้าใจว่า “เป็นคำสั่งจากวัง” ตรงกันข้ามเราจะพบความจริงว่าผู้สั่งฆ่าตัวจริงคือทหารและนักการเมือง แต่พวกนี้อยากจะใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ


ใครๆ ที่ไม่ตอแหลหรือไม่หลอกตนเองและผู้อื่น เข้าใจมานานแล้วว่าในประเทศประชาธิปไตย พลเมืองมีสิทธิ์ตรวจสอบประมุข เพราะประมุขเป็นผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ นี่คือสาเหตุที่ประเทศต่างๆ ที่มีกษัตริย์ในยุโรปไม่มีการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในทางปฏิบัติมานานแล้ว ในประเทศเหล่านี้พลเมืองมีสิทธิ์แลกเปลี่ยนอย่างเสรีด้วยว่า ประมุขควรเป็นกษัตริย์ที่สืบทอดสายเลือด หรือควรมาจากการเลือกตั้ง และในยุคนี้เราเห็นความเพี้ยนของระบบที่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดสายเลือดใน กรณีเกาหลีเหนือ ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนที่เรานำมาพิจารณาในไทยอีกด้วย


ในเมื่อกฏหมายหมิ่นฯ 112 ขัดกับวัฒนธรรมพลเมือง ขัดกับการสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบในระบบการเมืองสาธารณะ การเสนอให้ลดโทษ หรือการเสนอให้เลขาสำนักพระราชวังเป็นผู้ยินยอมให้มีการฟ้องแต่ฝ่ายเดียว จะเป็นเพียงการปกป้องระบบที่กีดกันเสรีภาพ ความโปร่งใส และการตรวจสอบเท่านั้น และเราคงเดาได้ว่าเลขาสำนักพระราชวังจะเป็นคนของทหารอีกด้วย


ข้อเสนอให้ “ปฏิรูป” กฏหมายหมิ่นฯ 112 ของคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็นเพียงการปกป้องกลุ่มที่เกาะกินกับระบบรัฐซ้อนรัฐบาล มันเป็นการปกป้องวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” และเป็นแค่ปฏิกิริยาต่อกระแสวัฒนธรรมพลเมืองที่ต้องการให้ยกเลิกกฏหมาย หมิ่นฯ 112 และปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน และนักวิชาการ “เสรีนิยม” ที่คล้อยตามการ “ปฏิรูปเทียม” แบบนี้ ก็เพียงแต่คล้อยตามวัฒนธรรมไทยเป็นทาสเท่านั้นเอง


แค่ข้อเสนอที่ไม่แก้ปัญหา 112 ของ คอป. ก็ไม่ได้รับความชื่นชมจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่คนเสื้อแดงเลือกมา เพราะรัฐมนตรีเฉลิม อยู่บำรุง “ลั่น” ว่าจะคัดค้านแบบหัวชนฝา การแก้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และด่าคนที่ต้องการสร้างสิทธิเสรีภาพว่า "ไอ้พวกนี้มันว่างงาน มาทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง” 


เราต้องถือว่าคำพูดของนายเฉลิมเป็นนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะไม่มีการออกมาวิจารณ์นายเฉลิมโดยนายกรัฐมนตรี และในรูปธรรมรัฐบาลนี้ยิ่งคลั่งในการใช้ 112 และกฏหมายคอมพิวเตอร์มากขึ้น


คนที่เคยหลอกตัวเองว่า “ต้องให้เวลากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์” ด้วยข้ออ้างต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับความใหม่ของรัฐบาล หรือปัญหาน้ำท่วม ถ้าพร้อมจะซื่อสัตย์ยอมรับความจริง คงต้องร่วมสรุปกับพวกเราว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำข้อตกลงกับทหารเรียบร้อย แล้ว และจะทำทุกอย่างเพื่อหักหลังวีรชนเสื้อแดง ไม่ว่าจะในเรื่องการไม่ลงโทษนายประยุทธ์ นายอนุพงษ์ นายอภิสิทธิ์ หรือนายสุเทพ ในข้อหาฆ่าประชาชน หรือในเรื่องการทอดทิ้งคนเสื้อแดงที่ติดคุกอยู่ หรือในเรื่องข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ และนอกเหนือจากนั้น สิ่งที่สำคัญพอๆ กันคือ แกนนำ “นปช. แดงทั้งแผ่นดิน” ก็พร้อมจะเผิกเฉยและปล่อยให้รัฐบาลหักหลังเสื้อแดง และปล่อยให้มีการสลายพลังของขบวนการเสื้อแดงจนไม่เหลืออะไร เพื่อให้ชนชั้นปกครองปรองดองกันเองและร่วมหากินบนสันหลังพลเมืองต่อไปใน อนาคต


พวกเราที่อยากเห็นวัฒนธรรมพลเมืองเกิดขึ้นอย่างจริงจังในสังคม จะต้องจับมือกันและเคลื่อนไหว และจะต้องพร้อมที่จะสร้างหน่ออ่อนของขบวนการเสื้อแดงใหม่ เพราะแกนนำที่เคยประกาศว่าเป็น “ไพร่... พร้อมสู้กับอำมาตย์” ดูเหมือนจะหันมาส่งเสริมวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” ไปเสียแล้ว


โดย ใจ อึ๊งภากรณ์


(ที่มา)
http://redthaisocialist.com/2011-01-20-12-41-04/309-2012-01-01-19-18-41.html 
กองทัพอิหร่านทดสอบยิง"ขีปนาวุธพิสัยกลาง"สำเร็จ "ช่องแคบฮอร์มุซ"ส่อตึงเครียด




สำนักข่าวอีร์นาของอิหร่านรายงานว่า อิหร่านประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากพื้นสู่อากาศวาน นี้ (1 ม.ค.) ระหว่างการซ้อมรบทางทะเลใกล้ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการลำเลียงน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย

อีร์นาอ้างคำกล่าวของ พลเรือเอกมาห์มูด มูซาวี ผู้บัญชาการกองทัพเรืออิหร่านว่า ขีปนาวุธนี้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดและ"ระบบอัจริยะ"ในการจัดการกับเป้าหมายที่ สามารถหลบหลีกเรดาร์และระบบข่าวกรองที่พยายามขัดขวางการนำวิถีขีปนาวุธ นับเป็นครั้งแรกที่อิหร่านทดสอบขีปนาวุธที่ออกแบบและผลิตขึ้นเองในประเทศ

การทดสอบดังกล่าวมีขึ้นหลังจากพลเรือเอกมาห์มูด ปฏิเสธรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า อิหร่านได้ทำการทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยไกล โดยระบุเพียงว่าจะมีการยิงทดสอบในอีกไม่ช้านี้
(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1325478774&grpid=&catid=06&subcatid=0600
คลิป เพลง ลุงสมชาย ป้าสมจิตร วงท่าเสา ( สุดยอดประจำปี)




 
เพลง ลุงสมชาย ป้าสมจิตร วงท่าเสา  

เรื่องราวครอบครัวลุงสมชาย ป้าสมจิตร

http://sanamluang2008.blogspot.com/2009/11/009015.html 

รวมวาทะ-วาระเด็ด "การเมือง" ปี 54 "กระต่าย" ตื่นตูม!



 

สถานการณ์ในปีเถาะ พ.ศ.2554 เป็นอีกบริบท ที่ต้องจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ด้วยมีปรากฏการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นมากมายตลอดทั้งปี

อันปรากฏการณ์เหล่านั้น ล้วนสะท้อนผ่านความเคลื่อนไหว การส่งสัญญาน และการสื่อสารจากตัวนักการเมืองหลากหลายฝ่าย

"มติ ชน" รวบรวม "วาทะเด็ด" ทางการเมือง ตลอด พ.ศ.2554 ที่มีอานุภาพ ทรงพลังสู่การวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะส่งผลต่อการขับเคลื่อนการเมืองในแต่ละช่วงเวลาอย่างน่าสนใจ ดังนี้


1.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
"ผมบอกเลยว่าไม่ใช่นอมินี แต่เรียกได้เลยว่าเป็นโคลนนิ่งของทักษิณเลย เยส ออ โน นี่พูดแทนผมได้เลย"

เป็น คำสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แก่สื่อหลายแขนงทั้งไทย-เทศ ที่บินตรงไปสัมภาษณ์ถึงนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2554 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ถึงเหตุผลในการตัดสินใจเลือก "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ขึ้นเป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออันดับ 1 "พรรคเพื่อไทย" ซึ่งหมายถึง การชิงตำแหน่งนายกฯ

(อ่านค่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1325486567&grpid=01&catid=&subcatid=
 

จับตา 30 มกราคม ศาลฎีกาฯตัดสินคดีรถดับเพลิง.. "โอกาสดีที่จะปฏิเสธการรัฐประหาร"




ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บรรณาธิการเว๊ปไซต์กฎหมายมหาชนยอดนิยมแห่งยุค www.pub-law.net  ได้เขียน บทบรรณาธิการ  สำหรับวันจันทร์ที่ 2 มกราคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2555  โดยใช้ชื่อเรื่องว่า

“โอกาสดีที่จะปฏิเสธการรัฐประหาร”

มติชนออนไลน์ เห็นแง่มุมมองทางกฎหมายและประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ



จึงเชิญชวนท่านผู้อ่าน พิจารณาแง่มุมทางวิชาการต่อไปนี้


....คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปี 2554 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเราตกอยู่ใน “ฐานะลำบาก” หลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม รวมไปถึงภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลกก็ “เลือก” ที่จะมาเกิดขึ้นที่ประเทศไทย ทำให้เราขาดโอกาสในการ “เดินไปข้างหน้า” อย่างมาก


ในรอบปีที่ผ่านมา การเมืองซึ่ง “แย่” มาตั้งแต่รัฐประหารปี พ.ศ. 2549 ก็ยังไม่ดีขึ้น แม้รัฐบาลประชาธิปัตย์จะ “ยุบสภา” แล้วเรามีการเลือกตั้งใหม่ ได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่ความวุ่นวายทางการเมืองก็ยังไม่จบสิ้นเสียที ยังคงวนเวียนอยู่กับปัญหาทักษิณ นิติรัฐ นิรโทษกรรม สองมาตรฐาน เลือกปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้เองที่แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 5 ปีแล้วก็ตาม การเมืองก็ยังไม่นิ่งอย่างที่ควรเป็น ประกอบกับรัฐบาลมีคน “คัดค้าน” อยู่มาก ไม่ว่าจะเสนออะไรหรือทำอะไร ทุกอย่างก็ดู “ผิดไปหมด” ภาวะต่าง ๆ ในบ้านเมืองเราจึงคงเป็นที่น่าวิตกอยู่เช่นเดิม

(อ่านต่อ)


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1325482046&grpid=01&catid=01&subcatid=0100

                
[คลิป] ธงชัย วินิจจะกูล: เมื่อความจริง (นิยาย) โดนดำเนินคดีฯ

วิดีโอการอภิปรายของธงชัย วินิจจะกูล เกี่ยวกับหนังสือของเดวิด สเตร็คฟัส และภาวะ "Hyper Royalism" ที่ร้าน Book Re:public เมื่อ 17 ธ.ค. นำเสนอพร้อมการแนะนำผู้อภิปรายโดย "ภัควดี ไม่มีนามสกุล"


เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 54 ร้าน Book Re:public จ.เชียงใหม่ จัดเสวนา “เมื่อความจริง (นิยาย) โดนดำเนินคดีในยุคกษัตริย์นิยมล้นเกิน” มีผู้อภิปรายคือธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประวัติ ศาสตร์ไทย ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐอเมริกา ดำเนินรายการโดยภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลอิสระ

เนื้อหาเป็นการอภิปรายหนังสือ “Truth on Trial in Thailand: Defamation, Treason, and Lese-Majeste” ของเดวิด สเตร็คฟัส แนวคิดเรื่องการดำเนินคดีหมิ่นประมาทและคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และอภิปรายภาวะ Hyper Royalism หรือภาวะกษัตริย์นิยมล้นเกินในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาประชาไทได้นำเสนอในส่วนที่เป็นการอภิปรายไปแล้ว [ตอนที่ 1] [ตอนที่ 2] และในวันนี้ขอนำเสนอวิดีโอการอภิปรายในวันดังกล่าว [เพลย์ลิสต์ของวิดีโอทั้งหมด คลิกที่นี่]

(คลิกอ่านและฟัง)
http://www.prachatai.com/journal/2012/01/38558
เมืองไทย 2555 อะไรรอเราอยู่ ตอน 2: จับชีพจรสิทธิมนุษยชนไทย


โดยปกป้อง เลาวัณย์ศิริ

ย้อนมองสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยในปี 2554 และมองสถานการณ์ปี 2555 โดยปกป้อง เลาวัณย์ศิริ นักสิทธิมนุษยชนไทย อดีตผู้ประสานงานภูมิภาค สภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ ฟอรั่มเอเชีย ซึ่งเขามองว่า ประเด็นสำคัญคือวัฒนธรรมการไม่ต้องรับผิดในการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้า หน้าที่รัฐ และเสรีภาพในการแสดงความเห็น ซึ่งทั้งสองประเด็นหลักยังไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นขณะที่กลไกคุ้มครองสิทธิ อย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ย้อนมองสถานการณ์สิทธิปี 2554

สถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยในปีที่ผ่านมามีสี่ประเด็น ประเด็นแรกคือกรณีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทยเป็นประเด็นที่เอ็นจี โอในประเทศไทยและต่างชาติให้ความสำคัญมาก เช่นองค์กรนักข่าวไร้พรมแดนเมื่อต้นปีก็มีการจัดอันดับเสรีภาพ และประเทศไทยก็ร่วงลงมา จากอันดับที่เก้าสิบกว่า มาเป็นอันดับที่ร้อยห้าสิบ

Trend of Human rights in Thailand 2012 with Pokpong Lawansiri part 1/3 

(คลิกฟัง) http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=AGKjqQJOg_E#! 


(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/01/38556