หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ฆาตกรต้องถูกลงโทษ // นสพ.เลี้ยวซ้าย ปีที่ 9 ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน 56

ฆาตกรต้องถูกลงโทษ // นสพ.เลี้ยวซ้าย ปีที่ 9 ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน 56 



ดาวน์โหลดอ่านที่นี่

หนทางสู่ความฉิบหายของขบวนการประชาธิปไตย

(นอก เรื่อง) หนทางสู่ความฉิบหายของขบวนการประชาธิปไตย - See more at: http://blogazine.in.th/blogs/chaiyasitdhi#sthash.MpIjvhdC.dpuf
(นอก เรื่อง) หนทางสู่ความฉิบหายของขบวนการประชาธิปไตย - See more at: http://blogazine.in.th/users/chaiyasitdhi#sthash.TGEVFXxx.dpuf
หนทางสู่ความฉิบหายของขบวนการประชาธิปไตย


  
"If a blind man leads a blind man, both will fall into a pit."— Matthew 15:13-14
"ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด, ทั่งคู่ย่อมเดินตกหลุม" - มัทธิว, 15:13-14

หนทางสู่ความฉิบหาย ก็คือสถานการณ์ที่ขบวนการไม่สามารถตรวจสอบตัวเองเพื่อดัดแปลงการต่อสู้ให้เหมาะสมกับบริบทได้ หลักการนี้ไม่ใช่แค่สำหรับขบวนการประชาธิปไตย แต่กับทุกขบวนการนั่นแหละ 

เหมาพากองทัพแดงปลดปล่อยจีนทั่วประเทศ สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนจนสำเร็จ แต่เกือบจะทำให้ดอกผลของการปฏิวัติต้องพังทลายลงด้วยมือของเขาเอง

การใช้ลัทธิบูชาตัวบุคคลอาจเป็นประโยชน์ในกรณีที่ผู้นำกำลังเดินไปในทิศที่ถูกต้อง ต้องการสั่งซ้ายหันขวาหันให้กับคนที่เดินตามหลังไป แต่ถ้าผู้นำกำลังเดินลงเหว ลัทธิบูชาตัวบุคคลยิ่งจะพาให้คนทั้งหลายเดินลงเหวเร็วยิ่งขึ้น เพราะผู้คนพากันมืดบอด ด้วยเชื่อว่าหลังจากลงเหวไปแล้ว อาจมีเบาะนุ่มที่ผู้นำได้เตรียมการล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดีแล้ว 
 
แล้วอันที่จริง การขึ้นสู่บทบาทนำของเหมา ก็เกิดมาจากการตรวจสอบตนเองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน(ในยุคที่ยังไม่มีลัทธิบูชาตัวบุคคลเกิดขึ้น) เมื่อผู้นำชุดเดิมของพรรคฯ นำพาผู้คนพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ประชุมพรรคก็คัดเลือกเหมา(ที่เคยถูกลงโทษจากพรรค เพราะไม่ยอมเชื่อฟังแนวทางลุกฮือในเมือง ออกมาจัดตั้งกองทัพแดงในชนบท มีชาวนาเป็นมวลชนของพรรค) ขึ้นมาเป็นผู้นำชุดใหม่ เพราะเหมามีนโยบายที่แตกต่างจากผู้นำชุดเก่า และอาจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้นมากกว่า  

จะเห็นว่าชัยชนะของขบวนการขนาดใหญ่นั้น เกิดขึ้นได้เพราะมีการดัดแปลงตนเองให้เข้ากับสถานการณ์ และในทางตรงกันข้าม ลัทธิบูชาตัวบุคคล ซึ่งทำให้การนำของพรรคไม่สามารถตรวจสอบดัดแปลงแก้ไขได้นั้นก็เกือบนำไปสู่จุดจบของขบวนการนั้นเสียเอง

ขบวนการเสื้อแดงกลุ่มที่อยู่ภายใต้การนำของทักษิณและเครือข่าย ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ตกอยู่ภายใต้ลัทธิบูชาตัวบุคคลของเหมา แต่ที่แตกต่างอย่างมากประการหนึ่งก็คือพรรคเพื่อไทยไม่เคยชนะแบบที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนชนะ บางคนอาจบอกว่าได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งก็ถือว่าเป็นชัยชนะอย่างหนึ่ง ก็อาจจะต้องบอกว่า นั่นมันก็แค่การทำให้มีตัวตนอยู่ ลองคิดดูดีๆ ว่าตั้งแต่เริ่มเป็นรัฐบาลมา เพื่อไทยได้ทำอะไรในทางการเมืองที่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ผมไม่คิดว่ามี หรือถ้าจะบอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีแค่หน้าที่ทางเศรษฐกิจ ก็ต้องถามว่าแล้วพรรคเพื่อไทยจะดัน พรบ. นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งทำไม?