หนังช่างคิด: "I Saw The Devil" 5 ปีหลัง 19 ก.ย.49
“ปีศาจ”
โดย OLDBOY บางคูวัด
หลายครั้งที่เรามักได้เห็นว่า ระหว่าง “ยอดคน” ผู้ชี้ทาง-ผู้ปลดปล่อย กับ “จอมวายร้าย” ผู้บูชาความรุนแรงอันได้มาจากอำนาจด้านมืดนั้น มีแค่เส้นบางๆ ที่พร้อมจะถูกก้าวข้ามหรือขาดผึงลงจนชี้ชัดไม่ได้ในที่สุดว่า สีเทาหม่นที่ห่มคลุมอยู่นั้น เนื้อแท้มาจาก ขาว หรือ ดำในมหากาพย์ “สตาร์วอร์” ของจอร์จ ลูคัส “อนาคิน สกายวอล์คเกอร์” ก็มีพื้นฐานจิตใจที่อยากให้เกิดความเป็นธรรม ความสุขสงบในกาแล็กซี่ แต่เมื่อเขาเลือกใช้ “อำนาจ” และการทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่ง “ด้านมืด” ก็เข้าครอบงำจนกลายเป็นปีศาจร้ายไปในที่สุด
ไม่แน่ว่า คณะนายทหาร ไม่ว่าจะเป็นชุด คมช.ใน พ.ศ. 2549 คณะรสช. ใน พ.ศ. 2534 หรืออีกหลายต่อหลายคณะ (ไม่ไหวจะนับ) ก่อนหน้านั้นก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆกัน
แต่สัจธรรมที่ตกผลึกจากการเลือกใช้ “ความรุนแรง” ยุติปัญหา เลือก “ยาพิษจากต้นไม้พิษ” เพื่อ “ฆ่า” หรือ “ปราบ” หญ้า-วัชพืชอันไม่พึงประสงค์ สิ่งที่จะยังคงตกค้างตลอดไปนั่นคือ “ความรุนแรง” และ “ยาพิษ”
นั่นกระมังที่เป็นชุดความคิดแบบที่ “คณะนิติราษฎร์” พยายามเสนอทางออกด้วยการ “ล้างพิษ” จนกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างประเทืองปัญญากันอยู่ในขณะนี้
กลับเข้าสู่โลกของการเล่าเรื่องผ่านแผ่นฟิล์มกันดีกว่า และภาพยนตร์ที่ถูกเลือกมา I Saw The Devil หรือชื่อไทยคือ “เกมโหดล่าโหด” ของผู้กำกับ คิม จีวูน (งานกำกับเรื่อง "A Tale of Two Sisters" หรือ ตู้ซ่อนผี ผ่านตาและติดใจแฟนหนังชาวไทยพอสมควร) ก็เลือกที่จะตอกย้ำในประเด็นคล้ายๆกัน
คุณจะเลือกทำอย่างไรดีเมื่อได้พบเจอกับ “ปีศาจ” (และมันสร้างความเจ็บแค้นให้กับคุณเหลือที่จะรับ)
ก.รีบกำจัดมันซะให้สิ้นซาก ข.อโหสิปล่อยให้เป็นไปตามกรรม ค.ทวงแค้น เอาคืนให้สาสม
ผิดทุกข้อเพราะ “ซูยอน” (รับบทโดย ลี บยอง ฮวอน) พระเอกของเรากาข้อ ง. ด้วยประโยคเด็ดว่า
"ผมจะทำให้เขาเจ็บ 1,000 เท่า...ไม่สิ 10,000 เท่าดีกว่า"
โครงเรื่องโดยสังเขปแล้วมีเพียงแค่ผู้ร้ายโรคจิต/ฆาตกรต่อเนื่อง “คุงซัล” (รับบทโดย ชอย มิน ซิก- ถ้ามีบทผู้ร้ายโรคจิต ดูเหมือนผู้กำกับหรือแฟนหนังจะคิดถึงแกเป็นคนแรก!!) ดันไปเลือกเหยื่อที่เป็นคนรัก/คู่หมั้นของ “ซูยอน” เจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษ เกมไล่ล่าจึงเกิดขึ้น
เทคนิคการฝังเซ็นเซอร์บอกตำแหน่ง (คล้ายๆ กับที่เราเห็นใน "No Country for Old Men") ที่ซูยอนจัดให้กับคุงซัลช่วยเพิ่มความตื่นเต้นในการไล่ล่าได้เป็นอย่างดี แต่นั่นแค่น้ำจิ้ม เพราะเมนคอร์สแท้ๆ คือการประชันความโหดทั้งที่ผู้ล่า กระทำ และ ผู้ถูกไล่ตอบแสดงปฏิกริยาตอบโต้
นอกจากสารพัดความสยองในกรรมวิธีเชือด ทำร้าย ทำลายหลักฐานของคุงซัล ฆาตกรโรคจิตแล้ว เรายังได้เพลิดเพลินไปกับไอเดียการ “เอาคืน” ของ ซูยอนแบบเจ็บๆ อาทิ กระทืบจนเลือดท่วม รัดคอจนอ้วก เอาถุงพลาสติกครอบหัว ทุบหัวด้วยเหล็ก ตัดเอ็นที่เท้า ฯลฯ
คุณภาพในการถ่ายทำ มุมกล้อง การจัดแสง การคุมโทนท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนอึดอัด ล้วนเป็นจุดขายในงานของผู้กำกับ คิม จี วูน ที่ รักษามาตรฐานได้เป็นอย่างดี แต่ที่เติมรสชาติให้เข้ม ข้นคลั่ก ก็คือการประชันฝีมือของ 2 นักแสดงแถวหน้าของเกาหลี ทั้ง ลี บยอง ฮวอน และ ชอย มิน ซิก (โดยเฉพาะรายหลัง ฝังใจผมมาตั้งแต่บท เพี้ยน เฮี้ยน โหดระห่ำของแกใน "Oldboy" ภาพยนตร์ในดวงใจอีกเรื่องหนึ่งเลยละ)
ปมสุดท้ายที่หนังพยายามบอกก็คือ I Saw The Devil นั้น ซูยอน ผู้ล่าก็มองเห็น คุงซัล ผู้ถูกล่าก็มองเห็น เราซึ่งเป็นผู้ชมก็สามารถมองเห็นได้ไม่ยากเช่นกัน
เพราะเมื่อคุณเห็น “ปีศาจ” แล้วคุณเลือกที่จะจัดการมันด้วยวิธีของ “ปีศาจ” (หรือหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก) ผลลัพธ์ในท้ายที่สุด “ปีศาจ” ก็ไม่ได้ถูกกำจัด หรือทำลายล้างแต่อย่างใด
มีเพียงแค่รอดูว่า “ปีศาจ” ตัวไหนจะร้ายกาจมากกว่ากันเท่านั้นเอง
หากคิดจะตัดวงจร “ปีศาจ” ก็ต้องปฏิเสธ “ปีศาจ” ทุกรูปแบบ ทุกวิธีการ กล้าที่จะปิดช่อง ลงยันต์ ป้องกันในระยะยาว หรือจับใส่หม้อถ่วงน้ำเสียให้สิ้นซาก ไม่อย่างนั้นมันก็พร้อมจะกลับมาหลอกหลอนได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
เอ๊ะ! หรือ ที่ผ่านมา สยามประเทศเราก็ยังตกอยู่ในวังวนแบบนั้น?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น