ปัญหาของ 112 มากกว่าการใช้ในทางที่ผิด
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
คดีอากงทำให้เราเห็นว่าผู้บริสุทธิ์กลายเป็นเหยื่อของกฏหมาย 112 และกระบวนการในศาลที่พร้อมจะจำคุกคนชราด้วยข้ออ้างว่าส่งแค่ sms โดยไม่ค่อยมีหลักฐานอะไรเลยอีกด้วย และการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยพร้อมจะใช้กฏหมายนี้ในการจับผิดลงโทษคนที่แค่กด like ใน facebook ก็พิสูจน์ว่าในเรื่องกฏหมาย 112 รัฐบาลใหม่ไม่ต่างจากรัฐบาลพรรคทหารของอภิสิทธิ์
คดีของคุณสมยศ และอ.สุรชัย ซึ่งตามหลักสากลต้องถือว่าสองคนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะยังไม่มีการตัดสินคดี แต่กลับถูกปฏิเสธการประกันตัว และถูกกลั่นแกล้งให้เดินทางไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อรับฟังข้อกล่าวหา เปิดโปงการใช้ 112 เพื่อ บิดเบือนความยุติธรรมโดยระบบตุลากรไทย ยิ่งกว่านั้นคดีต่างๆ เหล่านี้เปิดโปงสภาพคุกในประเทศไทยต่อชาวโลกว่าย่ำแย่แค่ไหน ไม่ว่าจะเรื่องจำนวนคนในห้องขัง สภาพห้องน้ำ การถูกล่ามโซ่ และการไม่ดูแลนักโทษเวลาน้ำท่วมหรืออากาศเย็น ทั้งหมดนี้ทำให้ประเทศไทยเป็นที่อับอายขายหน้าทั่วโลก
คดีของคุณดาร์ ตอบิโด ทำให้เราเห็นว่ากระบวนการในศาลขาดความโปร่งใสโดยสิ้นเชิง ซึ่งแปลว่าตุลาการทำอะไรก็ได้ตามอคติของตนเอง โดยที่ไม่ต้องได้รับการตรวจสอบโดยสื่อหรือประชาชนแต่อย่างใด เพราะเป็นคดีลับ และโทษที่ตุลากรให้มา ไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด เพราะได้โทษมากกว่าฆาตกร ทั้งๆ ที่คุณดาร์และนักโทษ 112 ทุกคน ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับใคร และฆาตรกรที่สั่งให้มีการยิงประชาชนเมื่อปีที่แล้วก็ยังลอยนวล
มีนักโทษกฏหมายอธรรม 112 อีกมากมายที่ผมไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่เราจะไม่ลืมเขา
การที่หลายคนและหลายองค์กรที่รักประชาธิปไตยออกมาเสนอให้ “แก้” กฏหมาย 112 เป็นเรื่องดี และผมเข้าใจว่าในบรรยากาศเผด็จการของไทย บางคนหรือบางกลุ่มอาจไม่กล้าเสนอให้ยกเลิกกฏหมาย 112 นี้ ไปเลย แต่ก็ยังมีหลายคนที่กล้าเสี่ยงด้วย ตรงนี้เราเข้าใจกันได้ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าการแก้ปัญหาคือการแค่แก้กฏหมายหรือปฏิรูปกฏหมายนี้ แต่อย่างใด
กฏหมาย 112 เป็น กฏหมายที่ทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกโดยสิ้นเชิง และสังคมใดที่เราไม่สามารถพูดอะไรบางอย่างได้ ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย มันง่ายมาก ใครแกล้งไม่เข้าใจต้องมีเงื่อนไขแอบแฝงที่จะทำลายประชาธิปไตยอย่างแน่นอน
การแก้กฏหมาย 112 ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ฟ้องแต่ฝ่ายเดียว ควบคู่กับการลดโทษ ไม่สามารถแก้ปัญหาว่า 112 เป็น กฏหมายที่ปิดปากประชาชน ใช้กระบวนการลับในศาล และทำให้การพูดความจริงเป็นสิ่งที่ผิดได้ ตรงนี้ต่างจากกฏหมายหมิ่นประมาทธรรมดา ที่ปกป้องทุกคนจากการใส่ร้ายเท็จได้ ถ้าผู้ที่ถูกใส่ร้ายมีเงินพอที่จะฟ้องผู้กล่าวเท็จ
เราต้องฟันธงให้ชัดเจนว่า ในประเทศที่มีประชาธิปไตย ไม่ว่าจะที่ไหนในโลก พลเมืองต้องมีสิทธิ์ที่จะเสนอการปกครองแบบสาธารณรัฐ มันเป็นการถกเถียงธรรมดาในเรื่องระบบการปกครอง มันไม่ใช่อาชญากรรมแต่อย่างใด
และในไทยเราต้องมีสิทธิ์ถามอีกด้วยว่า....
1. เมื่อ ทหารทำรัฐประหาร หรือฆ่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตย โดยอ้างว่าทำเพื่อปกป้องกษัตริย์ผู้เป็นประมุข ทำไมประมุขไม่ออกมาวิจารณ์ทหารและปกป้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย การถามคำถามแบบนี้ทำให้ผมโดนกฏหมาย 112 แต่มันไม่ ใช่คำถามที่เสนอว่ากษัตริย์ผู้เป็นประมุขเป็นผู้สั่งฆ่าประชาชนหรือสั่งให้ มีรัฐประหารแต่อย่างใด มันเป็นคำถามเรื่องบทบาทหน้าที่ของประมุข มันเป็นคำถามที่มีความชอบธรรม และเป็นคำถามที่เรายังไม่ได้รับคำตอบในประเทศไทย
2. เวลาประมุขเสนอลัทธิเศรษฐกิจพอเพียง มันเป็นข้อเสนอให้แช่แข็งความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนในสังคมใช่ไหม? และเป็นข้อเสนอจากบุคคลคนหนึ่งที่รวยที่สุดในประเทศใช่ไหม? คำถามแบบนี้ถูกตั้งขึ้นกับนักการเมืองเศรษฐีฝ่ายขวาในตะวันตกทุกวัน เมื่อเขาเสนอแนวเสรีนิยมกลไกตลาด มันเป็นส่วนหนึ่งของการถกเถียงทางเศรษฐศาสตร์ และเป็นคำถามที่มีความชอบธรรมเช่นกัน แต่ถ้าถามในไทยก็จะโดน 112
3. ทำไม เราต้องใช้ราชาศัพท์กับประมุขและทุกคนในครอบครัว และทำไมต้องปิดการจราจรให้กับเขาด้วยเมื่อเขาเดินทาง โดยเฉพาะในกรณีที่รถพยาบาลฉุกเฉินไม่เคยได้รับ “อภิสิทธิ์พิเศษ” แบบนี้ เราควรถามถ้าอยากสร้างวัฒนธรรมพลเมืองประชาธิปไตย แต่ถ้าถามแค่นี้ก็จะติดคุกในไทย หรือถ้าไม่ใช้ราชาศัพท์ ไม่ยืนเคารพ ก็จะเสี่ยงติดคุกเช่นกัน
ทั้งหมดที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องยกเลิก ไม่ใช่แค่แก้ กฏหมาย 112 เพื่อให้ประเทศไทยมีสิทธิเสรีภาพเท่ากับประชาธิปไตยในประเทศสากล
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น