หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ลำดับเหตุการณ์-ทำไมคดีดาตอร์ปิโด โดนข้อหา ม.112 ต้องพิจารณาเป็นความลับ จากคำวินิจฉัยศาลรธน.!!!

ลำดับเหตุการณ์-ทำไมคดีดาตอร์ปิโด โดนข้อหา ม.112 ต้องพิจารณาเป็นความลับ จากคำวินิจฉัยศาลรธน.!!!

 

Posted Image

 


 

เมื่อวันที่ 9  ตุลาคม  2551  พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล( ดา ตอร์ปิโด)  เป็นจำเลย ต่อศาลอาญา   ในฐานความผิดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  112   ประกอบมาตรา  91 
   

ต่อมาวันที่ 23  มิถุนายน  2552 ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอาญา   อัยการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาว่าเนื่อง จากคดีนี้เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ซึ่งหากมีการเผยแพร่คำเบิกความของพยานต่อบุคคลภายนอก อาจทำให้เกิดความไม่สงบ เรียบร้อยหรือเกิดความไม่มั่นคง จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีเป็นการลับ
   
ทนายของ ดาตอร์ปิโด ของแถลงคัดค้าน  ขณะที่ศาลอาญาอนุญาตให้พิจารณาคดีนี้เป็นการลับ
   

ต่อมาวันที่ 25  มิถุนายน  2552   จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลอาญาว่า การที่ศาลอาญานำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา  177  มาบังคับใช้ในการพิจารณาคดีนี้และมีคำสั่งให้พิจารณาคดีเป็นการลับ ห้ามมิให้ประชาชนทั่วไปเข้าฟังการพิจารณานั้น เป็นการใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ขัดหรือแย้ง
ต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550  มาตรา 29  และมาตรา  40(2)
   
     
เนื่องจากมาตรา 40(2) บัญญัติไว้โดยชัดเจนว่าในการพิจารณาคดีหลักประกันขั้นพื้นฐาน  คือ การได้รับการพิจารณาอย่างเปิดเผย ดังนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา  177  จึงเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 40(2) และเป็นการจำกัดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้โดยชัดแจ้ง ซึ่งจะกระทำมิได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา  29
  
ดา ตอร์ปิโด ขอให้ศาลอาญาส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ
  
  

ต่อมาศาลอาญามีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาในวันเดียวกันว่า การที่ศาลสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา  177  มิได้เป็นการจำกัดสิทธิ และเสรีภาพของจำเลย เนื่องจากจำเลยมีทนายความเข้ามาแก้ต่างให้และสามารถนำพยานหลักฐาน มาพิสูจน์ความผิดของตนและหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
  

คำโต้แย้งของจำเลยจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ ที่จะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา  211  ให้ยกคำร้อง
  
ต่อ มาศาลอาญามีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  112  เป็นความผิดหลายกรรม ต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  91 จำคุกกระทงละ 6  ปี รวม 3  กระทง เป็นจำคุก 18  ปี
   

จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลอาญา ซึ่งศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า การที่จะวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นอำนาจของ ศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัย ไม่ใช่อำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลยุติธรรม

 
หากคู่ความโต้แย้งว่า บทบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและเป็นกรณีที่เข้าองค์ประกอบครบถ้วน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา  211  ดังกล่าวแล้ว ศาลชั้นต้นก็ต้องส่งความเห็นของคู่ความเช่นว่านั้นตามทางการ เพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ศาลชั้นต้นจะใช้ดุลพินิจเพื่อไม่ส่งไม่ได้ เว้นแต่จะเป็นกรณีไม่เข้าองค์ประกอบครบถ้วนตามมาตรา  211 

 

(อ่านต่อ)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332226357&grpid=01&catid=&subcatid=

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น