หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

การปรองดองต้องให้ได้ความจริงและยุติธรรม

การปรองดองต้องให้ได้ความจริงและยุติธรรม

("การเคลื่อนไหวเรื่อง “ปรองดอง” โดยแกนนำพรรคเพื่อไทยในวันนี้ จึงไม่ใช่การปรองดองแห่งชาติที่แท้จริง แต่เป็นความเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ที่จะประนีประนอม “หย่าศึก” กับเผด็จการจารีตนิยม อีกรอบก็เท่านั้นเอง")

 

โดยรศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์


คำถามของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญชุด “ปรองดอง” เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้วว่า กระทำรัฐประหาร 19 กันยายนไปด้วยตนเองหรือมีผู้อยู่เบื้องหลังสั่งให้ทำนั้น แม้ความสนใจของสื่อมวลชนและประชาชนจะพุ่งไปที่คำตอบของพล.อ.สนธิ และคำตอบโต้กันหลังจากนั้น แต่เหตุผลที่พล.ต.สนั่นอ้างในการถามคำถามดังกล่าวกลับสำคัญยิ่งกว่า

เหตุผลของพล.ต.สนั่นก็คือ ประชาชนต้องการรู้ความจริง กระบวนการปรองดองใดๆ จะไม่เป็นผลทั้งสิ้นหากความจริงทั้งหมดยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาว่า ใครเป็นผู้สั่งให้กระทำรัฐประหาร และที่สำคัญคือ ตราบใดที่ยังไม่มีการยอมรับความจริง ความเคียดแค้นในหมู่ประชาชนก็จะยังคงอยู่

นี่คือมาตรฐานที่แท้จริงที่เป็นเครื่องวัดว่า การปรองดองใดๆ จะกระทำได้จริงหรือไม่? จะเป็นการปรองดองแห่งชาติที่แท้จริงหรือเป็นเพียง “การประนีประนอมกันชั่วคราว” ระหว่างพลังจารีตนิยมกับพรรคเพื่อไทย

การปรองดองแห่งชาติที่แท้จริงประกอบด้วยสองส่วนคือ การเปิดเผยความจริงทั้งหมด และการให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย (ซึ่งประกอบด้วยการเยียวยา การลงโทษ และการอภัยโทษ)

เพียงประการแรกคือ การเปิดเผยความจริงทั้งหมด ในปัจจุบันก็มิอาจกระทำได้ วิกฤตการเมืองทั้งหมดตั้งแต่ต้นปี 2549 ถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าห้าปี มิได้มีเพียง พล.อ.สนธิ กองทัพกับรัฐประหาร 19 กันยายนเท่านั้น แต่ยังมี “เครื่องมือของจารีตนิยมอื่นๆ” ที่เคลื่อนไหวสอดประสานกันคือ พวกอันธพาลบนถนนที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย องค์กรตุลาการ พรรคประชาธิปัตย์ สื่อกระแสหลักบางค่าย นักวิชาการและนักกฎหมายบางจำพวก เป็นต้น

นัยหนึ่ง รัฐประหาร 19 กันยายน เป็นเพียงตัวแทนหนึ่งของเผด็จการและเป็นแนวรบชี้ขาดในเวลานั้น แต่ต้องพึ่งพาอาศัยแขนขาของจารีตนิยมอื่นๆ ในการตระเตรียมเงื่อนไขก่อนรัฐประหาร และช่วยซ้ำเติมให้ภารกิจเบ็ดเสร็จหลังรัฐประหาร

คำถามจึงไม่ใช่อยู่เพียงว่า ใครหรืออะไรที่บงการให้ พล.อ.สนธิกระทำรัฐประหาร 19 กันยายนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคำถามว่า ใครหรืออะไรที่บงการบุคคลและกลุ่มองค์กรเหล่านี้ได้ทั้งหมดให้เคลื่อนไหวสอด ประสานกันเป็นแนวรบใหญ่ที่เป็นเอกภาพ ทำลายล้างรัฐบาลไทยรักไทยและรัฐบาลพลังประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งได้ สำเร็จ ต่อเนื่องมาเป็นกรณีเมษาเลือด 2552 และการสังหารหมู่ประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553?

คำถามนี้จะมีคำตอบที่เปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนดุลกำลังทางการ เมืองในอำนาจรัฐอย่างถึงรากเท่านั้น มิใช่ในวลานี้ที่แก่นแกนอำนาจรัฐทั้งหมดยังคงอยู่ในมือของกลุ่มจารีตนิยม อย่างเหนียวแน่น ในขณะที่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยยึดกุมได้แต่เพียงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น!

และนี่คืออุปสรรคสำคัญที่สุดของการปรองดอง แม้แต่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ก็ยังไม่สามารถบรรลุความจริงของเหตุการณ์ทั้งหมดได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการ วิสามัญชุด “ปรองดอง” ข้างต้น ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อพูดถึงสาเหตุความขัดแย้งทั้งหมด ก็ยังคงวนไปเวียนมาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอยู่นั่นแหละ! ที่ยังไม่อาจเปิดเผยความจริงได้ทั้งหมดก็เพราะ “อำนาจรัฐยังไม่เปลี่ยนมือ” ก็เท่านั้นเอง

ในเมื่อไม่สามารถเปิดเผยความจริงได้ทั้งหมด การให้ความยุติธรรม ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อไปของการปรองดองที่แท้จริง จึงไม่อาจกระทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงโทษผู้บงการที่แท้จริงและผู้รับคำสั่งระดับบนสุดที่กระทำอาชญากรรมการ เมืองต่างๆ ตลอดหลายปีมานี้ ก่อนที่จะไปอภัยโทษให้กับผู้รับคำสั่งระดับล่างและมวลชนที่เข้าร่วม ตลอดจนเยียวยาชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย

  
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/03/39865

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น