หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อนุสาวรีย์ปราบกบฏ

อนุสาวรีย์ปราบกบฏ


 

โดย อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
เผยแพร่ครั้งแรก หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 381  ประจำวันเสาร์ ที่ 13 ตุลาคม 2555


การฟื้นตื่นของอนุสาวรีย์ปราบกบฏ อนุสาวรีย์แห่งการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยครั้งแรก และมีลักษณะเดียวกับการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ปกป้องประชาธิปไตย

ที่วงเวียนหลักสี่ จุดตัดระหว่างถนนพหลโยธินกับถนนแจ้งวัฒนะและถนนรามอินทรา มีอนุสาวรีย์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ เป็นอนุสาวรีย์รูปพานรัฐธรรมนูญ ปัจจุบัน อนุสาวรีย์แห่งนี้ เรียกกันว่า อนุสาวรีย์หลักสี่ ซึ่งปราศจากความหมายอันชัดเจน แต่อนุสาวรีย์แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า อนุสาวรีย์ปราบกบฏ สร้างขึ้นในโอกาสที่รัฐบาลคณะราษฎรสามารถเอาชนะ และปราบปรามกบฏบวรเดช ซึ่งเป็นกบฏฝ่ายนิยมเจ้าที่คุกคามประชาธิปไตยของสยาม อนุสาวรีย์นี้เป็นที่บรรจุอัฐิของทหารและตำรวจที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดัง กล่าวไว้ภายในรวม 17 นาย และรูปแบบของอนุสาวรีย์นี้ ยังกลายเป็นต้นแบบของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถนนราชดำเนินด้วย อนุสาวรีย์นี้ยังมีชื่อเรียกอื่น เช่น อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ อนุสาวรีย์ 17 ทหารและตำรวจ และอนุสาวรีย์หลวงอำนวยสงคราม เป็นต้น

กบฏบวรเดช เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2476 นับเป็นการกบฏครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475โดยเริ่มจากกลุ่มนายทหารและข้าราชการฝ่ายนิยมเจ้าที่ต่อต้านคณะ ราษฎร ได้ไปตั้งกองบัญชาการที่นครราชสีมา แล้วเรียนตนเองว่า “คณะกู้บ้านกู้เมือง” โดยมี นายพลเอก พระองค์เจ้าบวรเดชเป็นหัวหน้า แล้วตั้งให้ พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม(ดิ่น ท่าราบ)เป็นแม่ทัพ ยกกำลังเข้ามาในพระนคร


คณะกู้บ้านกู้เมืองตั้งกำลังที่ดอนเมือง แล้วยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลคณะราษฎรลาออก แต่ฝ่ายคณะราษฎรตัดสินใจต่อสู้เพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตย จึงตั้ง พ.ท.หลวงพิบูลสงครามเป็นผู้บัญชาการในการต่อสู้ ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกัน และฝ่ายรัฐบาลสามารถที่จะเอาชนะฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองได้ จนฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองต้องถอนกำลังในวันที่ 15 ตุลาคม ต่อมา พระยาศรีสิทธิสงครามเสียชีวิตในการรบที่หินลับ ส่วน พระองค์เจ้าบวรเดชหนีไปลี้ภัยที่อินโดจีนฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลได้มีผู้เสียชีวิตจากการปกป้องประชาธิปไตยครั้งนี้ 17 คน ที่สำคัญก็คือ พ.ต.หลวงอำนวยสงคราม(ถม เกษะโกมล) ซึ่งเป็นผู้ก่อการคณะราษฎร และเป็นเพื่อนของหลวงพิบูลสงคราม

รัฐบาลคณะราษฎรถือว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 17 คนเป็นวีรบุรุษผู้เสียสละเพื่อประชาธิปไตย จึงได้มีการจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ที่ท้องสนามหลวง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการทำศพสามัญชนที่สนามหลวง แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯจะมีพระราชกระแสว่าพระองค์ไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าสนามหลวงเป็นที่ทำศพเฉพาะเจ้านาย คณะราษฎรได้ตั้งชื่อถนนอำนวยสงคราม และสะพานเกษะโกมล เพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงอำนวยสงคราม และได้สร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้น เพื่อบรรจุอัฐิของทั้ง 17 คน

อนุสาวรีย์ปราบกบฏได้รับการออกแบบโดยหลวงนฤมิตรเรขการ (เยื้อน บุณยะเสน) อาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยยึดหลักทางการเมืองของคณะราษฎร คือ การพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ เพื่อรักษาประชาธิปไตยของบ้านเมือง การก่อสร้างดำเนินไปในปี พ.ศ.2479 และพิธีเปิดในวันที่ 14 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เป็นประธานในพิธี จึงถือได้ว่า อนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการพิทักษ์ประชาธิปไตย จากภัยคุกคามของฝ่ายนิยมเจ้า

ที่น่าสนใจคือ ผนังของฐานแต่ละด้านของอนุสาวรีย์มีการจารึกและประดับในเรื่องราวที่ต่างกัน ไป โดยผนังด้านทิศตะวันตกมีการจารึกรายนามของทหารและตำรวจ 17 นายที่เสียชีวิต ด้านทิศใต้เป็นรูปแกะสลักนูนต่ำของครอบครัวชาวนาคือ พ่อ แม่ และลูก โดย ผู้ชายถือเคียวเกี่ยวข้าว ผู้หญิงถือรวงข้าว และเด็กถือเชือก ซึ่งสื่อถึงราษฎร และเป็นอนุสาวรีย์แรกในประเทศไทยที่สร้างรูปชาวนา ด้านทิศเหนือเป็นรูปธรรมจักรซึ่งหมายถึงศาสนา และด้านทิศตะวันออกเป็นแผ่นทองเหลืองจารึกโคลงสยามานุสติ ซึ่งเป็นโคลงในลักษณะชาตินิยม

ต่อมา หลังจาก พ.ศ.2490 เมื่อคณะราษฎรสิ้นอำนาจ และฝ่ายนิยมเจ้าได้รับการฟื้นฟู อนุสาวรีย์ถูกทอดทิ้งในเชิงของความหมายเรื่องการปราบกบฏ กลายเป็นวงเวียนหลักสี่ ทำให้ความสนใจลดลงอย่างมาก และเมื่อมีอัตราการใช้รถยนต์ในกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก วงเวียนหลักสี่และอนุสาวรีย์ถูกพิจารณาว่ากีดขวางการจราจร จึงมีการพิจารณาปรับภูมิทัศน์หลายครั้ง เช่น ใน พ.ศ.2536 มีการยกเลิกวงเวียนทำเป็นสี่แยก และนำมาซึ่งการขุดอุโมงค์ลอดอนุสาวรีย์ และใน พ.ศ.2553 กรมทางหลวงมีโครงการจะสร้างสะพานลอยข้ามแยกเพื่อเชื่อมต่อถนนแจ้งวัฒนะและ ถนนรามอินทรา ซึ่งอาจจะต้องทำให้มีการย้ายบริเวณของอนุสาวรีย์ และในอนาคต ยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าโมโนเรล สายสีชมพู ซึ่งก็คงจะส่งผลต่ออนุสาวรีย์อีก ในกรณีนี้ ทางฝ่ายสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เสนอความเห็นว่า อนุสาวรีย์นี้เป็นเพียงสัญลักษณ์จำลองเท่านั้น ซึ่งไม่มีผลอะไร ดังนั้นจึงมองว่า น่าจะก่อสร้างได้โดยไม่มีผลกระทบอะไร

แต่กลับกลายเป็นว่า อนุสาวรีย์ปราบกบฎได้กลับมารื้อฟื้นความหมายครั้งล่าสุด เมื่อคนเสื้อแดงเริ่มการชุมนุมครั้งใหญ่ พ.ศ.2553 นายวีระ มุสิกพงษ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ(นปช.)ได้เลือกอนุสาวรีย์หลักสี่เป็นสถาน ที่รวมพลเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 มีนาคม พ.ศ.2553 ก่อนกิจกรรมการชุมนุมใหญ่ที่ยืดเยื้อ โดยนายวีระประกาศในตอนนั้นว่ามาสักการะดวงวิญญาณของคณะราษฎร เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย

หลังจากที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปราบปรามประชาชนคนเสื้อแตงจนมีผู้เสียชีวิต 94 คนและบาดเจ็บนับพันคน ประชาชนจำนวนมาก ถือว่า ผู้เสียสละชีวิตในกรณีเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.2553 เป็นวีรชนที่เสียสละในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จึงได้เกิดการแสวงหาวีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระยะก่อนหน้านี้ อนุสาวรีย์ปราบกบฏจึงสามารถฟื้นความหมายได้ในลักษณะเช่นนี้ เพราะถือเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยครั้งแรก และมีลักษณะเดียวกับการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ปกป้องประชาธิปไตย

ดังนั้น ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปีครบรอบ 79 ปี แห่งการเสียสละของวีรชนประชาชนคราวกบฏบวรเดช กลุ่มประชาชนคนเสื้อแดง ก็ไปจัดพิธีรำลึกการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่อนุสาวรีย์แห่งนี้ โดยจะมีการวางพวงมาลา มีการอภิปรายและเพลง การจัดงานฉลองอนุสาวรีย์ปราบกบฏในปีนี้ จะเป็นการปูทางไปสู่การรณรงค์จัดงาน 80 ปีในปีหน้า

นั่นหมายความว่า สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของประชาชนอีกหนึ่งจะถูกรื้อฟื้นความสำคัญ เพื่อสะท้อนถึงสายธารแห่งประชาธิปไตย และเป็นการประกาศต่อฝ่ายอำมาตย์และพวกนิยมเจ้าว่า ประชาชนจะไม่ยอมจำนน

(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/10/4318

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น