หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยุทธการ สนามม้า จุดประกาย "ไทยสปริง" ตามรอย "อาหรับ"

ยุทธการ สนามม้า จุดประกาย "ไทยสปริง" ตามรอย "อาหรับ"

 

 

การที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ออกมาพูด


"พวกผมที่เป็นทหารเก่าอยากให้ปฏิวัติมานานแล้ว"

"หากผมมีกำลังทหารอยู่ในมือคงปฏิวัติไปนานแล้ว หากฝ่ายทหารเข้ามาร่วมชุมนุมและฟังข้อมูลจะเห็นด้วยกับแนวคิดของผม"

มิได้เป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมาย

เพราะอย่างน้อยครั้งที่ดำรงยศเป็น พ.อ. เมื่อเดือนมีนาคม 2520 พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ก็เคยทำมาแล้ว

ทำร่วมกับ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ

ทำร่วมกับ พ.ท.สนั่น ขจรประศาสน์

ขณะเดียวกัน หากดูรายชื่อขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เป็นประธานคณะกรรมการ

ก็จะมี นายปราโมทย์ นาครทรรพ เป็น กรรมการกิตติมศักดิ์

ก็จะมี นายไพศาล พืชมงคล เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ บุคคลเหล่านี้ล้วนเข้าร่วมในการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 มาแล้วอย่างแนบแน่น

ปมเงื่อนอยู่ที่ว่าจะ "จุดติด" หรือไม่

ประเด็น ที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เสนอผ่านการเคลื่อนไหวของ "องค์การพิทักษ์สยาม" (อพส.) ดำเนินไปอย่างที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สรุปอย่างรวบรัด

นั่นก็คือ "ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศมีความรู้สึกอึดอัด"

อึด อัด 1 เป็นเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อึดอัด 1 เป็นเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล อึดอัด 1 เป็นเรื่องการทนไม่ได้ต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันเป็นหุ่นเชิดหรือโคลนนิ่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

คำถามอยู่ที่ว่า ที่ว่าเป็นประชาชน "ส่วนใหญ่" นั้นมีความจริงรองรับเพียงใด

คำถามอยู่ที่ว่า ที่ว่ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นมีพยานหลักฐานหนาแน่นอย่างจริงจังหรือเสมอเป็นเพียงวาทกรรมกล่าวหา

คำถามอยู่ที่ว่า ที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นโคลนนิ่งนั้นเหตุใดจึงต้อง "โคลน"


การนัดชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ในวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม ณ สนามม้านางเลิ้ง จึงเป็นเหมือนการเปิดเวที

"หากมาไม่ถึง 1,000 ก็จะเลิก" เหมือนกับเป็นการท้าทาย

แท้จริงแล้วเป็นการทดสอบ เป็นการหยั่งเชิง เป็นการทดสอบว่าความอึดอัดใน 3 ประการนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือว่าคิดกันเอาเอง

เป็น "ส่วนใหญ่" หรือเป็น "ส่วนหนึ่ง"

มีคนจำนวนหนึ่งมากด้วยความมั่นใจถึงกับลั่นวาจาว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น่าจะอยู่ได้ไม่เกินเดือนตุลาคม 2555

ไม่เพียงแต่ต้องพ้นจากตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี"

หากแต่มั่นใจในระนาบที่ลงความเห็นว่า ชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะดำเนินไปอย่างเดียวกับพี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

คือ ไม่มีแผ่นดินจะอยู่

ทาง 1 อาจเป็นการประเมินจากสภาพที่ ส.ว. 67 คนยื่นคำร้องไปยังคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า การทำสัญญาขายข้าวจีทูจีจะต้องดำเนินไปตามมาตรา 190 วรรคสองของรัฐธรรมนูญหรือไม่

นี่อีหรอบเดียวกับชะตากรรมที่ นายสมัคร สุนทรเวช เคยประสบเมื่อเดือนกันยายน 2551

ขณะเดียวกัน ทาง 1 กระแสกล่าวหาในเรื่องทุจริตตั้งแต่ไซฟ่อนเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท ทุจริตรถหรู ทุจริตน้ำท่วม ทุจริตจำนำข้าว ฯลฯ

และล่าสุดคือการกวาดเอากรณีประมูล 3จีให้เป็นไฟลัมเดียวกันกับรัฐบาล

เมื่อ นำเอาข้อกล่าวหาในเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพผนึกรวมมาอีก จึงประเมินว่าการชุมนุมในวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม เท่ากับเป็นการตอกฝาโลงให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เสมือนหนึ่ง "ไทยสปริง"

หากดูจากบาทก้าวล่าสุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เร่งในการปรับ ครม. "ยิ่งลักษณ์ 3"

ประหนึ่ง จะไม่รู้ร้อนหนาวกับข้อกล่าวหา ประหนึ่งจะตายใจและมั่นใจในความแข็งแกร่ง ไม่สนใจการชุมนุมที่สนามม้า ไม่สนใจการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน

เดินหน้าบริหารบ้านเมือง
 


(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1351223584&grpid=01&catid=&subcatid=

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น