5 ธันวา ของทุกๆปี
ความป่าเถื่อนของสถาบันกษัตริย์ไทย
ชนชั้นปกครองไทยพยายามกล่อมเกลาให้เราเชื่อว่า นายภูมิพลเป็นทั้ง
“กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์” และ “กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย”
พร้อมกัน การ
ที่ความเชื่อนี้ไม่สมเหตุสมผลไม่สำคัญ
เพราะมีการรณรงค์ผ่านโรงเรียนและสื่อให้เราเชื่อว่ากษัตริย์มีอำนาจเหนือ
ชีวิตของเรา มีการสั่งสอนให้เราทั้งรักและทั้งกลัวอำนาจกษัตริย์
และในบรรยากาศแบบนี้ โดยเฉพาะบรรยากาศความกลัว
เหตุผลและปัญญาก็สูญหายไปง่าย ข้อเสนอของชนชั้นปกครองนี้
เป็นความพยายามให้ประชาชนเชื่อว่าไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากการจงรักภักดีต่อและเกรงกลัวผู้ปกครองที่เป็นเสมือนพระเจ้าหรือเทวดา
ความคิดนี้เป็นความพยายามที่จะหลอกเรา
เพื่อปกป้องอำนาจและอภิสิทธิ์ของชนชั้นปกครองทั้งชนชั้น โดยเฉพาะทหาร
ข้าราชการชั้นสูง และนายทุนใหญ่
ถ้า
เราจะ “ตาสว่าง” จริง เราต้องเลิกจงรักภักดี
และต้องเข้าใจว่านายภูมิพลอ่อนแอไร้อุดมการณ์ และเป็นเครื่องมือของทหาร
เราต้องมองว่าทหารเป็นศัตรูสำคัญที่สุดของประชาธิปไตย
ใน
ยุคปัจจุบัน
โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์นองเลือดที่ราชประสงค์และการเงียบเฉยของนายภูมิพล
รวมถึงพฤติกรรมสนับสนุนพันธมารของราชินีและลูกชาย ประชาชนเสื้อแดงจำนวนมาก
หลายล้านคนทั่วประเทศ กลายเป็น “ผู้เคยรักเจ้า” มีการเปลี่ยนจากการ “รัก”
ไปเป็นการ “เกลียดชัง” และเวลาคน
เสื้อแดงพันๆ คนตะโกนร้องว่า “เหี้ยสั่งฆ่า” ที่ราชประสงค์ในวันที่ ๑๙
กันยาที่ผ่านมา เขาหมายถึงนายภูมิพล ซึ่งมันไม่จริง....
แต่อย่างน้อยคนก็เลิกรักเจ้า ตรงนั้นเป็นเรื่องดี
สิ่ง
หนึ่งที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ยังสลัดออกจากหัวไม่ได้คือ “ความกลัว”
ที่มีต่อนายภูมิพลและราชวงศ์ เพราะยังเชื่อใน
“อำนาจ”ของกษัตริย์ที่ทหารและคนชั้นสูงกล่อมเกลาให้เราเชื่อ
ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะเห็นทะลุนิยาย
และเริ่มเข้าใจว่านายภูมิพลเป็นแค่สัญลักษณ์ของลัทธิกษัตริย์
เป็นตรายางเพื่อประทับตราความชอบธรรมให้ทหาร แต่เป็นตรายางที่ร่ำรวยมหาศาล
คนเสื้อแดงต้องพยายามฝ่าฟันความรู้สึกกลัวนายภูมิพล
และเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกสมเพชดูถูกกษัตริย์และราชวงศ์แทน
ดูถูกสมเพชในแง่ที่พวกนี้ไม่มีปัญญาและความสามารถอะไร
แต่กลับชื่นชมในนิยายที่ทำให้ตนเองเป็นเทวดา
และเราต้องสมเพชที่เขาไม่มีความกล้าหรือศีลธรรมพอที่จะรับผิดชอบอะไร
กล้าแต่รับผลประโยชน์จนรวยเท่าฟ้าเท่านั้น
ภาพ
ของสถาบันกษัตริย์ที่ดูเข้มแข็งและมีอำนาจ ที่ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางความกลัว
เป็นภาพลวงตา ภาพลวงตานี้มีวัตถุประสงค์อะไรสำหรับชนชั้นปกครอง?
การ
สร้างภาพของกษัตริย์ว่ามีอำนาจสูงสุดดุจเทวดา
เป็นวิธีหาความชอบธรรมให้กับตนเองของชนชั้นปกครองไทย พูดง่ายๆ พวกทหาร
ข้าราชการชั้นสูง และนักการเมือง รวมถึงนายทุนใหญ่
เป็นผู้ที่มีอำนาจจริงในสังคม และเป็นผู้ที่ตัดสินใจทำอะไรเองเสมอ เขาเป็น
“เหี้ยที่สั่งฆ่าประชาชน” แต่เขาจะสร้างภาพว่าทำทุกอย่างเพื่อกษัตริย์
หรือทำตามคำสั่งของกษัตริย์หรือราชินี ส่วนนายภูมิพลในฐานะกษัตริย์
ก็มีหน้าที่ในการประทับตรา ชม และให้ความชอบธรรมกับสิ่งที่ชนชั้นปกครองทำ
การปราศรัยของนายภูมิพลมักจะมีลักษณะกำกวมตีความได้หลายด้าน
บ่อยครั้งไม่มีสาระอะไรมากมาย
แต่นั้นคือโอกาสของชนชั้นปกครองที่จะตีความเข้าข้างตนเอง
และเป็นโอกาสของนายภูมิพลที่จะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
แต่อย่าหลงคิดว่านายภูมิพลเป็นเหยื่อ
เขากอบโกยผลประโยชน์มากมายจนเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก
และเป็นคนไทยที่รวยที่สุดอีกด้วย
ถ้านายภูมิพลจริงใจในคำพูดของตนเอง เรื่องการ “ช่วยคนจน” เขาจะต้องกระทำบางอย่างเป็นรูปธรรมคือ
1. สละมหาสมบัติทั้งหลายในธนาคาร บริษัทใหญ่ฯลฯ และยกให้ประชาชนไทย เพื่อเป็นกองทุนสร้างรัฐสวัสดิการ
2. ประกาศขายวังทั้งหมด แล้วนำเงินนี้เข้ากองทุนเพื่อสร้างรัฐสวัสดิการ โดยสงวนบ้านพักขนาดเล็กพอเหมาะให้ตนเองอยู่
3. แจ้งรัฐบาลว่าจะปฏิเสธเงินจากภาษีประชาชน และจะเลี้ยงดูตนเองด้วยรายได้พอเหมาะ เช่นเงินเดือนเท่ากับนายกรัฐมนตรี
4. สั่งให้คนอื่นในครอบครัวทำเช่นกัน และให้ออกไปทำงาน แทนที่จะแบมือรับเงินประชาชน
การ
ใช้กษัตริย์เป็นเครื่องมือแบบนี้ของชนชั้นปกครองไทย
มีกฎหมายหมิ่นและกฎหมายคอมพิวเตอร์ไว้เพื่อบังคับความจงรักภักดี และข้อหา
“ล้มเจ้า” กลายเป็นข้ออ้างในการเข่นฆ่าประชาชนกลางเมืองด้วย
มันเกิดขึ้นในวันที่ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ และอีกครั้งใน เมษา/พฤษภา ๒๕๕๓
มัน
มีวิธีเดียวที่เราจะแก้ไขปัญหานี้ได้คือ เราต้องล้มอำมาตย์
ลดอำนาจและบทบาทของทหาร และยกเลิกสถาบันกษัตริย์
แล้วเราจะมีโอกาสสร้างประชาธิปไตย
ถ้า
เราศึกษาประวัติศาสตร์ไทยเราจะพบว่าในรอบ 200
ปีที่ผ่านมาสถาบันกษัตริย์ไทยเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง
จากสถาบันในระบบศักดินา
ไปเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจรวมศูนย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในช่วงรัชกาลที่ ๕
และในการปฏิวัติปี ๒๔๗๕ เปลี่ยนอีกครั้งเป็น “ประมุขภายใต้อำนาจทหาร” ตั้งแต่
๒๔๗๕ ถึงปัจจุบัน นายภูมิพลไม่เคยล้มอำนาจทหารและขึ้นมาเป็นใหญ่ได้เลย
เพราะเมื่อเผด็จการถนอมหรือสุจินดาถูกประชาชนคัดค้าน ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม
และ พฤษภาคม ๓๕ นายภูมิพลเป็นแค่ประมุขรับใช้ของทหารส่วนอื่น องค์มนตรี
และนายทุน โดยที่มีการรอดูว่าใครชนะ
แล้วให้นายภูมิพลออกมาปกป้องผลประโยชน์ของอำมาตย์ต่อ
ผ่านการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ หรือการออกโทรทัศน์
การรณรงค์ให้ประชาชนชื่นชมและให้ความสำคัญกับกษัตริย์ภูมิพลหลัง ๒๔๗๕
เริ่มในสมัยจอมพลสฤษดิ์ และมีการทำอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
ถ้าไม่มีการรณรงค์แบบนี้โดยฝ่ายทหาร ข้าราชการ และนายทุน
คนอย่างนายภูมิพลคงไม่มีปัญญาจะผลักดันความสำคัญของตนเองได้
เพราะเขาเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอ ขาดความมั่นใจ ขี้ขลาด หลงตนเอง
และคบค้าสมาคมกับมนุษย์คนอื่นไม่เป็น
อย่าลืมว่าเพื่อนแท้ของนายภูมิพลคือหมา
และสาเหตุที่เขาไม่ยิ้มก็เป็นเพราะเขาเป็นคนขี้อายที่ไม่มีเพื่อน
ในภาพรวมครอบครัวของนายภูมิพลเป็นครอบครัวพิการที่ไร้ความอบอุ่นและเต็มไป
ด้วยคนเพี้ยน
เครือ
ข่ายของชนชั้นปกครองที่สนับสนุนและปกป้องสถาบันกษัตริย์ประกอบไปด้วยชนชั้น
ปกครองทั้งหมด รวมถึงอดีตนายกทักษิณและนายทุนใหญ่อื่นๆ อีกด้วย
ชนชั้นปกครองไทยทั้งชนชั้น รวมทุกซีก ทุกกลุ่ม และนักการเมืองพรรคเพื่อไทยจำนวน
มากอีกด้วย ได้ประโยชน์จากการมีกษัตริย์เป็นประมุข
และได้ประโยชน์จากการห้ามไม่ให้เราวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน
เพราะทำให้เราไม่ตั้งคำถามกับระบบความเหลื่อมล้ำในสังคม
ใน
กรณีอดีตนายกทักษิณ เขาชื่นชมระบบกษัตริย์ แต่ถูกทหารและกลุ่มอนุรักษ์นิยม
แย่ง “สิทธิ์ที่จะอ้างความชอบธรรมจากกษัตริย์” ผ่านรัฐประหาร ๑๙
กันยาและเหตุการณ์อื่นๆ
“ลัทธิ
กษัตริย์” การบูชากษัตริย์เหมือนเทวดา การหมอบคลาน การใช้ราชศัพท์
การชมลัทธิเศรษฐกิจพอเพียง หรือการประกาศความจงรักภักดี
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
และขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย
ทุกวันนี้คนเสื้อแดงจำนวนมากเข้าใจประเด็นนี้ได้ดี
นี่คือสิ่งที่สร้างความกลัวในหมู่ชนชั้นปกครองไทย
เพราะถ้าประชาชนไม่ศรัทธาในกษัตริย์ และไม่ศรัทธาในระบบศาล
ทหารและข้าราชการชั้นสูงจะอ้างความชอบธรรมอะไรในการแทรกแซงการเมือง
การทำลายประชาธิปไตย และการกอบโกยผลประโยชน์?....
จงกลัวต่อไปเถิดพวกอำมาตย์ เพราะสักวันหนึ่งประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
บทบาทแท้ของนายภูมิพล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น