โง่จนเจ็บ
โดย ภาคภูมิ แสงกนกกุล
โง่จนเจ็บ กับ โง่เจ็บจน
นิทาน โง่จนเจ็บ ไม่ใช่แพร่หลายเฉพาะในวงการการเมืองไทยเท่านั้น วงการสุขภาพหรือสาธารณสุขไทยก็มีนิทานเรื่องนี้เช่นกัน ผมไม่ทราบว่ามันแพร่หลายได้อย่างไร และเริ่มต้นเมื่อไร อย่างไรก็ตามนิทานโง่จนเจ็บในวงการสุขภาพไทยยังคงดีกว่านิทานโง่จนเจ็บในการ เมือง เพราะนักสาธารณสุขยังมีการมองปัญหาในเชิงโครงสร้างมากกว่า และต้องมีการแก้ทั้งทางโครงสร้างและระดับปัจเจกพร้อมๆกัน[2][3]
องค์กรอนามัยโลก(WHO) ก็มีการเสนอวัฏจักรทำนองนี้เช่นกันชื่อวัฏจักรสุขภาพและความยากจน (cycle of health and poverty) แต่วัฏจักรนี้ไม่ใช่ โง่จนเจ็บ แต่เป็น โง่เจ็บจน และเป็นการมองปัญหาในเชิงโครงสร้าง
วงจรนี้เริ่มตรงที่ว่าคนจนมักจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาดและเสี่ยง ต่อการเป็นโรคได้ง่าย ความจนทำให้ไม่สามารถไปใช้บริการรักษาพยาบาลได้ นอกจากนี้การไม่ได้ศึกษาสูงทำให้ไม่รู้ว่าต้องดูแลสุขภาพตนเองอย่างไร (โง่) และด้วยสาเหตุข้างต้นทำให้คนจนมีสุขภาพแย่ลงๆ (เจ็บ) เมื่อสุขภาพแย่ลงแล้วทำให้คนเหล่านี้ต้องเสียเวลาการทำงานเพื่อไปใช้การ รักษา และเสียเงินเพื่อค่ารักษาพยาบาลทำให้คนเหล่านี้ที่จนอยู่แล้วจนยิ่งขึ้นไป อีก(จน) และกลายเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบวัฏจักรโง่เจ็บจนสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียม กันในระบบสาธารณสุขที่คนจนมีโอกาสน้อยในการเข้าถึงการรักษาที่ดีและไม่สร้าง ภาระการเงินให้กับคนยากจนเมื่อใดก็ตามที่เขาป่วย และความไม่เท่าเทียมกันในการสร้างสิ่งแวดล้อมสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ เอื้อต่อการมีสุขภาพดีให้กับคนยากจน
ในขณะที่โง่จนเจ็บ มีความแตกต่างกัน ตรงที่ว่าคนที่มีการศึกษาน้อย (โง่) มีโอกาสที่ได้รับรายได้น้อยกว่าคนมีการศึกษาสูง (จน) และเมื่อจนแล้วก็จะมีโอกาสป่วยมากกว่า จากการไม่มีเงินเข้ารับการรักษา และจากลักษณะอาชีพของคนจนที่มีลักษณะเสี่ยงต่อการมีสุขภาพแย่ (เจ็บ) การที่ประเทศไทยมองวัฏจักรโง่จนเจ็บมันสะท้อนว่าเมืองไทยมันแย่ทั้งระบบโครง สร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างระบบสาธารณสุข ระบบเศรษฐกิจไม่มีความเท่าเทียมกันในการกระจายรายได้ ระหว่างคนที่มีการศึกษาสูงและคนที่มีการศึกษาต่ำ รวมถึงงานที่มีความเสี่ยงสูงต่อการมีสุขภาพแย่ก็โยนไปให้คนจนทำงานหมด เหลืองานไม่อันตรายรายได้ดีให้กับคนมีการศึกษาสูง และเมื่อคนจนเจ็บป่วยก็ไม่มีความเท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขอีกเมื่อ ระบบกีดกันให้เฉพาะคนรวยได้รับการรักษาแต่คนจนถูกละเลย คนจนเมื่อเจ็บป่วยก็ปล่อยตามยถากรรมให้เจ็บป่วยไปเรื่อยๆ
โง่จนเจ็บ กับ จนเครียดกินเหล้า
ตามความทรงจำของผมในสมัยเด็กๆ ผมเริ่มเห็นโฆษณาประเภท จนเครียดกินเหล้า มาสิบยี่สิบปีมาแล้ว ผมไม่ทราบว่ากระบวนการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากมองเป็นระบบกลายเป็นจนเครียดกิน เหล้าเริ่มต้นมาอย่างไร แน่นอนว่าการที่คนเราตัดสินใจกินเหล้าหรือไม่กินเหล้าเป็นสิ่งที่ปัจเจก บุคคลตัดสินใจเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าปัญหาความยากจนกับสุขภาพก็เป็นปัญหาเชิงโครง สร้างซึ่งต้องอาศัยการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง การที่ลดปัญหาเชิงโครงสร้างให้กลายเป็นเรื่องของปัจเจกชน เช่น จนเครียดกินเหล้า ย่อมเป็นการผลักภาระให้คนจนกลายเป็นคนผิดไปโดยปริยาย แทนที่จะเป็นความรับผิดชอบส่วนหนึ่งของสังคม การกินเหล้ากลายเป็นปัญหาเชิงศีลธรรมของประเทศไทย ไม่ว่ากินเหล้า=แช่ง หรือ งดกินเหล้าเข้าพรรษา ซึ่งวิธีลดทอนเป็นระดับปัจเจกไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมคนจนถึงจนซึ่งคนจนอาจจนมาจากสาเหตุค่าแรงขั้นต่ำมันน้อยไป ไม่ใช่เพราะเขาไม่ขยัน ทำไมคนจนถึงเครียดซึ่งคนจนอาจเครียดมาจากสิ่งบันเทิงใจมีราคาแพงที่ต้องจ่าย รัฐไม่เคยอำนวยให้คนจนเข้าไปชมศิลปะวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์แบบไม่เสียตังค์ หรือทำไมคนจนจึงกินเหล้า แล้วยิ่งบวกปัญหาเชิงศีลธรรมเข้าไปอีกก็กลายเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับจน ว่า คนจนเป็นคนกินเหล้า ไม่เจียมตัวใช้จ่ายสิ้นเปลืองหมดไปกับเหล้า และเป็นคนเลวซึ่งสาสมแล้วที่พวกเขาจะมีสภาพที่ยากลำบากสุขภาพแย่ และยากจนต่อไปเรื่อยๆ ในทางตรงกันข้ามคนดีเป็นพวกไม่กินเหล้า ร่างกายแข็งแรง มีปัญญา ใช้จ่ายพอเพียงมีเงินในกระเป๋าและ เป็นวีรบุรุษสร้างความเจริญให้ชาติ ดังตัวอย่างยูทูปข้างล่างทั้งสอง
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น