รัฐสวัสดิการกับเรื่องผู้หญิง
โดย ฮิปโปน้อย
องค์กรเลี้ยวซ้าย
การกดขี่ผู้หญิงมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะในรูปแบบของภาระหน้าที่ที่
ต้องเผชิญ ทัศนคติทางวัฒนธรรมความไม่เท่าเทียมในสิทธิระหว่างหญิงชาย
หลายปีที่ผ่านมากลุ่ม
องค์กรพัฒนาสังคมต่างๆพยายามหาแนวทางการแก้ปัญหาเหล่านี้
แต่ดูเหมือนแนวทางในการสร้างรัฐสวัสดิการ
เพื่อลดการกดขี่ผู้หญิงจะไม่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเลย
ถามว่าการมีรัฐสวัสดิการจะช่วยลดการกดขี่ผู้หญิงอย่างไร?
คำตอบคือการมีรัฐเข้ามาแบ่งเบาภาระของผู้หญิง
โดยการเข้ามาดูแลตั้งแต่เรื่องการตั้งครรภ์ การคลอด
การเลี้ยงดูเด็กที่เกิดมาจะเอื้อให้ผู้หญิงมีโอกาสในการทำงานนอกบ้านมากขึ้น
และการมีอำนาจในทางเศรษฐกิจจะทำให้ผู้หญิงดูแลตนเองได้
และเพิ่มอำนาจการต่อรองแทนการพึ่งพา รูปธรรมที่ชัดเจนที่บอกว่า
รัฐสวัสดิการช่วยลดการกดขี่ผู้หญิงได้จริง
ตัวอย่างเช่นประเทศสวีเดนที่มีระบบรัฐสวัสดิการครบวงจรตั้งแต่เกิดจนตาย
สวีเดนช่วยลดการกดขี่ผู้หญิงโดยการนำเอางานบ้านและการเลี้ยงดูลูกมาเป็นภาระ
ของรัฐด้วยนโยบายสวัสดิการสำหรับแม่และเด็กในระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด
รัฐออกกฎหมายให้นายจ้างอนุญาตให้ลูกจ้างหญิงเหล่านี้หยุดงานหรือเปลี่ยนงาน
ได้ ในสภาวะที่ตัวงานไม่เอื้ออำนวยต่อสภาพร่างกายและจิตใจ
โดยการแจ้งนายจ้างล่วงหน้า 1 เดือน นายจ้างจะต้องหางานที่เหมาะสมให้
หากไม่สามารถหาได้นายจ้างจะต้องจ่ายค่าช่วยเหลือเป็นเงิน 50 วัน
นอกจากนี้ลูกจ้างหญิงที่ตั้งครรภ์ยังได้เงินช่วยเหลือเป็นเงิน 80 %
ของรายได้ต่อปี ตัวเลขคูณด้วย 0.989 แล้วหารด้วย 365 วัน ต่อปี
เมื่อคลอดลูกแล้วก็สามารถลางานหรือหยุดงานไปเลี้ยงลูกได้เป็นเวลาถึง 1 ปี 3
เดือน
ซึ่งการลางานในก็จะได้เงินค่าช่วยเหลือในรูปเงินทดแทนจากการขาดรายได้
และยังมีเงินช่วยเหลือเด็กอีก เด็กที่ไม่มีพ่อแม่หรือพ่อแม่เด็กเกษียณแล้ว
ก็จะได้เงินช่วยเหลือจนกว่าเด็กจะอายุครบ 16 ปี หรือ 19
ปีในกรณีที่เด็กต้องเรียนต่อ
เด็กสามารถได้รับค่าเลี้ยงดูจากรัฐเท่าๆกันหมดโดยที่ไม่สำคัญว่าเด็กคนนั้น
จะต้องเป็นคนยากจนที่สุดหรือไม่
เมื่อเด็กคนหนึ่งเข้าสู่วัยเรียน
รัฐสวัสดิการสวีเดนจัดให้มีการเรียนฟรี
ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย
ที่น่าสนใจคือมีสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนให้กับผู้พ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงานฟรี
ซึ่งจุดนี้ทำให้ผู้หญิงสามารถทำงานนอกบ้านได้อย่างเต็มที่
โดยไม่ต้องกังวลเรื่องลูก ดังนั้นผู้หญิงจึงมีอำนาจการต่อรองอย่างท่าเทียม
โดยไม่ตกเป็นเบี้ยล่างหรือผู้รับภาระเพียงผู้เดียวในการเลี้ยงดูบุตร
สถานที่เลี้ยงเด็ก โรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่รัฐตั้งขึ้นนั้น
ก็มีคุณภาพเท่าเทียมกันหมด แม้แต่โรงเรียนเอกชนก็ยังให้เรียนฟรี
โดยรับการอุดหนุนงบประมาณจากรัฐ
เด็กทุกคนจึงสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกันอีกด้วย
เมื่อมีงานกิจกรรมที่โรงเรียนพ่อแม่เด็กสามารถลางานไปร่วมกิจกรรมของสมาคม
ผู้ปกครองได้ สิ่งนี้สะท้อนการเข้าใจต่อคุณภาพชีวิต
และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่รัฐพึงมีต่อพลเมืองของตน
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ การทำแท้งเป็นเรื่องของสิทธิผู้หญิง
ผู้หญิงสามารถเลือกที่จะเลี้ยงดูเด็กที่จะเกิดมา
หรือไม่ก็ได้ตามสิทธิในร่างกายและเนื้อตัวของตนเอง
แม้แต่หญิงที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องการทำแท้งแล้วไม่ต้องการให้พ่อแม่รู้
เรื่องการทำแท้ง เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดูแลเรื่องนี้ก็จะเก็บเป็นความลับ
ในประเทศสวีเดนการทำแท้งถือเป็นเรื่องถูกกฎหมาย และสถานบริการทำแท้ง
เป็นสถานบริการที่ปลอดภัยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา
เท่านั้นยังไม่พอยังมีการแนะนำการคุมกำเนิด และแจกจ่ายยาคุมกำเนิดฟรี
ยังรวมไปถึงการทำหมันฟรีทั้งหญิงชายอีกด้วย
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างประเด็นเดียว
เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงและเด็ก และรัฐสวัสดิการครบวงจรในประเทศสวีเดน
การสร้างรัฐสวัสดิการนั้น
นอกจากเป็นการช่วยแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำในระบบทุนนิยมที่ก้าวหน้าที่สุด
แล้วยังช่วยทำให้ผู้หญิงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การกดขี่ทางเพศลดลง
การต่อสู้เรียกร้องสิทธิของผู้หญิงจึงไม่ควรแยกจากการเรียกร้องรัฐสวัสดิการ
ที่เป็นรูปธรรม
สิทธิความเท่าเทียมกับระหว่างหญิงกับชายที่พวกนักสตรีนิยมพูดซ้ำซากถึงต้น
ต่อปัญหา ว่าเกิดจากชายเป็นใหญ่ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย
เพราะผู้ถูกกดขี่ไม่ใช่มีเพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้น
ผู้ชายเองก็ถูกกดขี่ในระบบทุนนิยมด้วย ดังนั้นการรณรงค์เรื่องสิทธิผู้หญิง
เราจึงไม่ควรแบ่งเพศ ผู้ชายก็สามารถเข้าร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้หญิงได้
การต่อสู้เรื่องสิทธิเสรีภาพ เราต้องรู้ว่าศัตรูคือใคร
และต้องหลุดจากวาทกรรมลวงๆที่ชนชั้นปกครองใช้เป็นเครื่องมือในการสลายพลัง
สามัคคีระหว่างเพศสักที
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น