ฮิตเลอร์ยังไม่ตาย !!!
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดแม้จับชายผ้าตถาคตอยู่ แต่ไม่เห็นธรรม ผู้นั้นหาเห็นตถาคตไม่"
พุทธ วัจนะดังกล่าวเป็นจริงเสมอตลอดสองพันปีเศษที่ผ่านมา เราได้รู้จักศาสดาอย่างเหลาจื๊อ ขงจื๊อ เยซู โมฮัมหมัด ได้รู้จักนักรบอย่างอเล็กซานเดอร์ จูเลียสซีซาร์ นโปเลียน รวมทั้งฮิตเลอร์โดยไม่เคยเห็นตัว แต่รู้จักความคิดของบุคคลเหล่านั้นจากคำพูด ข้อเขียน และการกระทำที่มีผู้บันทึกไว้ที่มีผลต่อสังคมทั้งในขณะที่บุคคลเหล่านั้นมี ชีวิตและยังส่งผลถึงปัจจุบัน และมีผลต่อการศึกษาประวัติศาสตร์โดยรวม อิทธิพลทางความคิดและการกระทำที่บุคคลเหล่านั้นทิ้งไว้ ยังมีผลสืบเนื่องให้ต้องศึกษาต้องวิเคราะห์อยู่ เมื่อตีความตามพุทธวัจนะแล้วก็อาจพูดได้ว่าพระพุทธองค์และบุคคลอื่นๆ ดังกล่าวยังอยู่ ยังไม่ตาย
นายแพทย์เออร์เนสโต "เช" กูวารา เป็นชาวอาร์เจนไตน์ (อาร์เจนตินา) ร่วมกับฟิเดล คาสโตร ล้มรัฐบาลเผด็จการของสิบเอกบาติสตา ได้เป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลคาสโตร ด้วยความเป็นนักสากลนิยมจึงทิ้งตำแหน่งเข้าทำสงครามกองโจรเพื่อผู้ยากไร้ใน โบลิเวีย ถูกล้อมยิงเสียชีวิตเมื่อตุลาคม 1967 บรรดาผู้ยากไร้และผู้เห็นใจผู้ยากไร้ประกาศคำขวัญว่า "เชยังไม่ตาย" สื่อถึงความคิดในการต่อสู้เพื่อผู้ยากไร้ที่เสียเปรียบจะได้รับการสานต่อ เหมือนยังมีเชกูวาราอยู่ แม้ปัจจุบันวิธีการต่อสู้จากการใช้อาวุธจะเปลี่ยนไปเป็นสู้ในระบบตามกติกา แล้วก็ตาม
เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประธานศาลรัฐธรรมนูญของประเทศไทยพูดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ในหัวข้อ "ความปรองดอง ความยุติธรรมและประชาธิปไตย" มีการกล่าวว่าความพยายามแก้รัฐธรรมนูญและแก้กฎหมายที่กำลังทำอยู่เปรียบ เหมือนกับที่ฮิตเลอร์เคยทำ และอ้างถึงฮิตเลอร์ซึ่งชนะเลือกตั้งและแก้กฎหมายรักษาอำนาจของตัวเองจนนำ ประเทศไปสู่หายนะ และยังกล่าวว่าศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนีปัจจุบันมีอำนาจตั้งประเด็นพิจารณา เองได้โดยไม่ต้องให้ใครยื่นเรื่อง
การพูดดังกล่าวเป็นการจุดประเด็น ที่น่าสนใจ น่าเจาะลึกถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ครั้งนั้นของฮิตเลอร์ ศึกษาตัวตนของฮิตเลอร์ และ "ความเป็นฮิตเลอร์" ว่ามีเนื้อหาอย่างไร และเป็นไปในทางใด
เป็นความจริงที่ฮิตเลอร์ชนะการเลือกตั้ง และเป็นความจริงที่ฮิตเลอร์เปลี่ยนกฎหมายเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นของเยอรมนีเทียบเคียง (equivalent) ได้กับการเปลี่ยนแปลงใดในประเทศไทย การจับคู่เปรียบเทียบแบบผิดฝาผิดตัวจะทำให้ประชาชนไขว้เขวได้
ในความ เป็นจริงการเปลี่ยนแปลงของฮิตเลอร์นั้นเทียบเคียงได้กับการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 และการสร้างรัฐธรรมนูญปี 2550 และกฎหมายลูกที่คลอดตามออกมาจากรัฐธรรมนูญนี้จนประเทศกำลังจะหายนะจากแนว โน้มสงครามกลางเมืองในขณะนี้ ซ้ำร้ายผู้เปลี่ยนแปลงไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเช่นฮิตเลอร์ แต่หักหาญเอาด้วยอาวุธ เสียงข้างมากที่ไม่ฟังเสียงข้างน้อยนั้นยังไม่ดีนักแน่นอน แต่ไม่ถึงกับเลวร้ายยังสามารถใช้การศึกษา การรณรงค์ และความตื่นตัวในเรื่องสิทธิและการยอมรับซึ่งกันและกันเข้าคลี่คลายได้ แต่เสียงข้างน้อยที่ใช้พลังอาวุธโดยไม่ฟังเสียงข้างมากนั้น สมควรถูกประทับตราความผิดอย่างสมบูรณ์แบบ
การที่ฮิตเลอร์ซึ่งมาจาก การเลือกตั้งสามารถเปลี่ยนกฎหมายเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบได้นั้น อธิบายได้ว่าเพราะชาวเยอรมันถูกกดดันจากสัญญาแวซายส์ และสภาวะเศรษฐกิจ (ก่อนฮิตเลอร์รับตำแหน่ง หนึ่งดอลลาร์แลกได้ประมาณสามสิบล้านมาร์ค) แต่ในการแก้กฎหมายในไทยขณะนี้ไม่มีภาวะกดดันเช่นนั้น มีเวทีแสดงความเห็นและมีคำอธิบายรวมทั้งกระบวนการขั้นตอนมากมาย ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนีมีอำนาจมากจนล้วงลูกได้ตามที่อ้างนั้น เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันซึ่งได้รับบทเรียนหลังผ่านความเลวร้ายของศาลนาซีของ ฮิตเลอร์มาแล้วและศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนีมาจากรัฐธรรมนูญที่ดีในปัจจุบัน มีค่าควรแก่การพิทักษ์ แต่ประเทศไทยยังว่ายเวียนในวังวนอันไม่พึงประสงค์อยู่ ยังก้าวไม่พ้นเหตุการณ์ที่เคยเป็นบทเรียนของชาวเยอรมันมาแล้ว โชคดีเพียงอย่างเดียวของประเทศไทยคือการไม่มีสงครามจนประเทศยับเยินอย่าง เยอรมนี แต่ก็มีข้อเสียคือยังมองไม่เห็นจุดจบของภาวะไม่พึงประสงค์
การ เปลี่ยนแปลงใดๆ นั้นมีสองทิศทางคือ ทำให้ดีขึ้นและทำให้เลวลง ในทางเศรษฐกิจฮิตเลอร์เปลี่ยนทำให้ดีขึ้น แต่ทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนทำให้เลวลง เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด จึงมีการเปลี่ยนอีกครั้งเป็นระบบการเมืองที่ดี ส่งผลให้มีศาลรัฐธรรมนูญที่ดีดังที่เป็นอยู่ ซึ่งประเทศไทยยังไปไม่ถึง ยังสุกเอาเผากินอยู่ จึงยังไม่ควรบังอาจไปเปรียบด้วย การแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายเผด็จการจึงเป็นภารกิจที่จำเป็น เป็นการแก้ความเป็นเผด็จการให้ไม่เป็นเผด็จการและความเป็นฮิตเลอร์ให้ไม่ เป็นฮิตเลอร์
ในความเป็นฮิตเลอร์และวิธีคิดแบบฮิตเลอร์ มีข้อมูลที่น่าสนใจในเยอรมนีสมัยนั้นหลายอย่างเช่น
1.ส่ง คนไปเผารัฐสภา (Reichstag) ในกรุงเบอร์ลิน เมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 1933 แล้วป้ายสีว่าพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งมีสมาชิกในสภาอยู่สิบกว่าเสียงเป็นผู้เผา เป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์แล้วในปัจจุบันว่า แฮร์มัน เกอริง (Hermann Goering) อันดับสองรองจากฮิตเลอร์เป็นผู้สั่งเผา
2.ให้ทหารเยอรมัน แต่งตัวเป็นทหารโปล ฆ่าชาวเยอรมันตามชายแดนที่ติดกับโปแลนด์เพื่อปลุกให้ชาวเยอรมนีเคียดแค้น เมื่อกองทัพเยอรมันบุกโปแลนด์เมื่อ 1 กันยายน 1939 ทหารเยอรมันจึงเข้าเข่นฆ่าชาวโปลโดยไร้ความปรานี
3.ดอกเตอร์โยเซฟ เกิบเบลส์ (Josef Goebbels) รัฐมนตรีโฆษณาการของฮิตเลอร์ซึ่งได้รับการอ้างอิงเสมอแม้ในปัจจุบันในฐานะ ปรมาจารย์คนหนึ่งในวิชาว่าด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่สามารถพูดทั้งเรื่องจริงและไม่จริงได้อย่างแนบเนียน ชวนให้เชื่อถือ และได้ทำหน้าที่จนวาระสุดท้ายก่อนกินยาพิษตายตามฮิตเลอร์ไป ในความเป็นจริงเกิบเบลส์ เป็นเพียงสานุศิษย์คนหนึ่งของฮิตเลอร์เท่านั้น ครูฮิตเลอร์สอนวิธีการโกหกเพื่อให้คนเชื่อถือว่า ต้องทำใจให้เชื่อเรื่องที่จะโกหกว่าเป็นเรื่องจริงเสียก่อน
ในการนี้ ต้องการสมาธิและการสร้างจินตนาการที่ต้องฝึกอย่างเข้มข้นและจริงจัง เมื่อเชื่อเรื่องที่จะโกหกว่าเป็นความจริงแล้วให้ระเบิดและระบายเรื่องนั้น ออกมาจากใจที่เชื่อสนิทว่าเป็นความจริง สีหน้า แววตา ท่าทางและคำพูดที่เปล่งออกมาจะสอดคล้อง แนบเนียน ไร้พิรุธ และชวนให้เชื่อโดยสนิทใจ คนทั่วไปจะคิดว่า ถ้าไม่เป็นความจริง ไม่น่าจะมีใครแสดงได้จริงจังปานนั้น
ท่า ทางและคำพูดที่โกรธแค้นทหารโปล กับท่าทางและคำพูดที่สลดใจต่อชะตากรรมของชาวเยอรมันที่ถูกทหารโปลตัวปลอม เข่นฆ่าที่เกิบเบลส์แสดงออกนั้น ปลุกอารมณ์เพชฌฆาตของชาวเยอรมันให้ลุกโพลงจนทหารเยอรมันไม่ลังเลในการฆ่า ล้างผลาญชาวโปล
ครูฮิตเลอร์มีลูกศิษย์มากมายอยู่ทั่วโลก ทั้งเมื่อมีชีวิตอยู่และเมื่อตายไปแล้ว นายพลเหงียนเกากี อดีตรองประธานาธิบดีของเวียดนามใต้สมัยประธานาธิบดีเหงียนวันเทียว เคยประกาศชัดเจนว่านิยมฮิตเลอร์ วินสตัน เชอร์ชิล เคยพูดเมื่อปี 1983 ก่อนเกิดสงคราม 1 ปีว่า อยากให้อังกฤษมีคนอย่างฮิตเลอร์มาบริหารประเทศ (จากหนังสือ Judgment at Nuremberg) ในด้านการกระทำเลียนแบบนั้น หลังสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งฮิตเลอร์เสียชีวิตไปแล้วก็มีผู้นำจำนวนมากเดิน ตามรอยฮิตเลอร์เยี่ยงลูกศิษย์ที่ดี ใช้วิธีคิดในการยึดครองอำนาจทางการเมืองแบบฮิตเลอร์ โกหกแบบฮิตเลอร์ และอำมหิตแบบฮิตเลอร์ต่อผู้ไม่เห็นด้วยหรือผู้คัดค้าน ในประวัติศาสตร์การเมืองของไทยก็มีศิษย์เอกของฮิตเลอร์ทั้งที่เป็นบุคคลและ กลุ่มบุคคลที่คิดและทำตามคำสอนของครูฮิตเลอร์หลายคนหลายกลุ่ม หลักฐานพยานคือเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นหลายครั้งกลางเมืองหลวงของไทย ทั้งหมดเป็นการยืนยันว่า "ฮิตเลอร์ยังอยู่"
ทั้งก่อนเหตุการณ์ ในระหว่างเหตุการณ์ และหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ในเมืองไทยมีลูกศิษย์ดีเด่นของครูฮิตเลอร์และครูเกิบเบลส์อยู่หลายคน ถ้าครูทั้งสองได้อยู่จนเห็นฝีมือในครั้งนั้นคงให้เหรียญทองหรือใบประกาศ เกียรติคุณชั้นสุดยอดกับบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นแน่นอน
การเทียบเคียง ว่าความพยายามจะแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย และล้าสมัยที่กำลังทำอยู่ขณะนี้เป็นเหมือนการกระทำของฮิตเลอร์นั้น หากผู้พูดเป็นผู้ยากไร้ ผู้เดินดิน ผู้เสียเปรียบที่ไม่มีอำนาจต่อรองในสังคม ก็อยากทักให้ตักน้ำใส่อะไร ชะโงกดูอะไรเสียบ้างตามประสาคนธรรมดาๆ ที่เตือนกันได้
แต่ บังเอิญเป็นผู้มีตำแหน่งระดับสูงส่งสุดตาแล จึงทำได้เพียง พูดตามชื่อข้อเขียนนี้ว่า "ฮิตเลอร์ยังไม่ตาย" เพียงแต่กลไกการรับรู้ (Perception) เปลี่ยนไปจนเห็นผู้อื่นเป็นฮิตเลอร์
(ที่มา)
ww.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371540032&grpid=03&catid=12&subcatid=1200
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น