เผด็จการใหม่ในห้องเรียนและสถาบันการศึกษา
สิทธิเสรีภาพในการพูดจัดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย
หรือที่รู้จักกันในคำพูด Freedom of speech รวมทั้งสิทธิในการแสดงออก หรือ
Freedom of expression ได้รับการยอมรับเป็นสิทธิมนุษยชนภายใต้ข้อ 19
แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
และได้ถูกยอมรับในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในกติการะหว่างประเทศว่า
ด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and
Political Rights -ICCPR)
ข้อ 19 แห่งกติกาดังกล่าว บัญญัติว่า "ทุกคนมีสิทธิออกความเห็นโดยไม่ถูกแทรกแซง" และ "ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพการพูด สิทธินี้จักรวมไปถึงเสรีภาพในการแสวงหา ได้รับและส่งต่อข้อสนเทศและความคิดในทุกรูปแบบ โดยไม่คำนึงถึงขอบเขต ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียนหรือการพิมพ์ ในรูปของศิลปะ หรือผ่านสื่ออื่นใดที่เป็นทางเลือกของคนพูดหรือแสดงออก"
บัญญัติข้อ 19 ยังระบุด้วยว่าการใช้สิทธิเหล่านี้มี "หน้าที่และความรับผิดชอบพิเศษ" และ อาจต้องถูกจำกัดบ้างในกรณีจำเป็น เพื่อความเคารพถึงสิทธิหรือชื่อเสียงของคนอื่น หรือ เพื่อคุ้มครองความมั่นคงของชาติหรือเพื่อความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อการสาธารณสุข หรือเพื่อศีลธรรม
ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะ อเมริกาเป็นประเทศที่อาจกล่าวได้ว่า เป็นผู้นำวาทกรรมนี้มาใช้บ่อย มากที่สุดนับแต่ Bill of rights ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการโดยถูกใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญอเมริกันเมื่อปี 1791 สภาคองเกรสได้เพิ่มบทบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพ 4 ประการ ได้แก่ สิทธิและเสรีภาพในทางศาสนา สิทธิและเสรีภาพในการพูด สิทธิและเสรีภาพในการสมาคม และสิทธิและเสรีภาพของสื่อ
จากหลักพื้น ฐานด้านสิทธิเสรีภาพการพูดและการแสดงออกดังกล่าวทำให้กระบวนการประชาธิป ไตยในอเมริกาถูกพัฒนาจนกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมือง โดยอาศัยหลักการสื่อสารจากคำพูดและรูป แบบการแสดงออกต่างๆ ที่ไม่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนอันเป็นข้อจำกัดในแง่การละเมิดรุกล้ำสิทธิของ คน อื่น และส่วนหนึ่งของสิทธิเสรีภาพในการพูด การแสดงออก กระทำผ่านการวิพากษ์หรือวิจารณ์ จนเกิดเป็น รูปแบบและลักษณะการวิจารณ์ ซึ่งถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง
ข้อ 19 แห่งกติกาดังกล่าว บัญญัติว่า "ทุกคนมีสิทธิออกความเห็นโดยไม่ถูกแทรกแซง" และ "ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพการพูด สิทธินี้จักรวมไปถึงเสรีภาพในการแสวงหา ได้รับและส่งต่อข้อสนเทศและความคิดในทุกรูปแบบ โดยไม่คำนึงถึงขอบเขต ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียนหรือการพิมพ์ ในรูปของศิลปะ หรือผ่านสื่ออื่นใดที่เป็นทางเลือกของคนพูดหรือแสดงออก"
บัญญัติข้อ 19 ยังระบุด้วยว่าการใช้สิทธิเหล่านี้มี "หน้าที่และความรับผิดชอบพิเศษ" และ อาจต้องถูกจำกัดบ้างในกรณีจำเป็น เพื่อความเคารพถึงสิทธิหรือชื่อเสียงของคนอื่น หรือ เพื่อคุ้มครองความมั่นคงของชาติหรือเพื่อความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อการสาธารณสุข หรือเพื่อศีลธรรม
ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะ อเมริกาเป็นประเทศที่อาจกล่าวได้ว่า เป็นผู้นำวาทกรรมนี้มาใช้บ่อย มากที่สุดนับแต่ Bill of rights ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการโดยถูกใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญอเมริกันเมื่อปี 1791 สภาคองเกรสได้เพิ่มบทบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพ 4 ประการ ได้แก่ สิทธิและเสรีภาพในทางศาสนา สิทธิและเสรีภาพในการพูด สิทธิและเสรีภาพในการสมาคม และสิทธิและเสรีภาพของสื่อ
จากหลักพื้น ฐานด้านสิทธิเสรีภาพการพูดและการแสดงออกดังกล่าวทำให้กระบวนการประชาธิป ไตยในอเมริกาถูกพัฒนาจนกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมือง โดยอาศัยหลักการสื่อสารจากคำพูดและรูป แบบการแสดงออกต่างๆ ที่ไม่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนอันเป็นข้อจำกัดในแง่การละเมิดรุกล้ำสิทธิของ คน อื่น และส่วนหนึ่งของสิทธิเสรีภาพในการพูด การแสดงออก กระทำผ่านการวิพากษ์หรือวิจารณ์ จนเกิดเป็น รูปแบบและลักษณะการวิจารณ์ ซึ่งถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง
หมายความว่าสังคมอเมริกันยอมรับ การวิจารณ์ในประเด็นสาธารณะและประเด็นซึ่งเป็นองค์ความรู้ทั่วไป มีการสร้างวัฒนธรรมการวิจารณ์มาเนิ่นนาน ผ่านสื่อประเภทต่างๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันคือ สื่อใน ยุคดิจิตัล และสื่ออิเลคทรอนิกส์อย่างอินเตอร์เน็ต หรือสื่อออนไลน์
อย่าง เช่น ในการทำงานข่าวของสื่อมวลชนอเมริกัน งานวิจารณ์ข่าวถือว่ามีความสำคัญพอๆ กับงานข่าวเลยทีเดียว สถานีโทรทัศน์ค่ายใหญ่ต่างๆ ต่างก็มีนักวิจารณ์หรือ commentator ประจำสถานี หรือไม่ก็หานักวิจารณ์ขาจร(ผู้รู้)จากข้างนอก เพื่อให้รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังหรือที่มาที่ไปของแต่ละเหตุการณ์ หรือของสถานการณ์ ผู้รับสื่อจึงไม่เพียงรู้สถานการณ์ที่เป็นเนื้อหาข่าวเพียงอย่างเดียว หากยังรู้ถึง ปริมณฑลของข่าวนั้นๆอีกด้วย ทั้งนับเป็นการต่อยอดข่าวหรือเหตุการณ์ออกไปอย่างครอบคลุมภาคส่วนที่สมควร เกี่ยวข้องอีกด้วย เช่น ประเด็นข่าวการนิรโทษกรรมต่างด้าวผิดกฎหมาย ที่สามารถโยงถึงอาชญากรรมความเกลียดชัง (Hate crime) อันเนื่องมาจากสีผิว ได้ เป็นต้น
ผู้แสดงความเห็นจึงสำคัญมากสำหรับ สื่ออเมริกัน
เพราะผู้บริโภคไม่เพียงต้องการรับรู้ข้อมูลแบบทื่อๆเท่านั้น
แต่พวกเขาต้องการรับสื่อ ที่ทำให้พวกเขาคิดได้ เลือกได้
สำหรับตัวของพวกเขาเอง
นอกจากการวิจารณ์หรือการแสดงความ เห็นในวงการสื่อสารมวลแล้ว อีกวงการหนึ่งที่ดูเหมือน วัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์จะโดดเด่นมากเช่นกัน คือ วงการการศึกษา โดยเฉพาะในแวดวงวิชาการอเมริกัน ที่ถือเสมือนว่า วัฒนธรรมการวิจารณ์คือการพัฒนาองค์ความรู้ โดยการวิจารณ์นิยมกระทำผ่านการสนทนา ตอบโต้ในห้องเรียนหรือสถานที่สาธารณะ การสนทนาผ่านสื่อประเภทต่างๆ อย่างเปิดเผยตรงไปตรง มา เรื่องนี้ทำให้สังคมอเมริกันในแวดวงการศึกษาเกิดการพัฒนาองค์ความรู้ออกไป อย่างกว้าง เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะการแสดงความเห็นเชิงเหตุเชิงผลว่ายอมรับหรือไม่ยอมรับงานวิชาการแต่ละ ชิ้น เป็นการกระทำอย่างเปิดเผย ไม่ใช่เป็นแบบซุบซิบนินทากันแต่เพียงในกลุ่ม
การวิ จารณ์ จึงเป็นการแสดงความรู้ความสามารถของผู้วิจารณ์อย่างชัดเจน ในเมื่อสังคมอเมริกันเป็นสังคมเปิด การยอมรับการวิจารณ์ยังช่วยเป็นกระจกส่องตัวตนของคนที่ถูกวิจารณ์ รวมกระทั่งถึงความเป็นไปของสังคมนั้นอีกด้วย
สังคมอเมริกันจึงมี พื้นที่ในการวิจารณ์มาก และวัฒนธรรมการวิจารณ์ในแบบฉบับอเมริกันไม่ได้ดึงสังคมไปสู่ความขัดแย้งใน สังคม ความขัดแย้งนั้นถ้าจะมี ก็เป็นเพียงความขัดแย้งหรือความไม่เห็นด้วยทางความคิดเท่านั้นซึ่งถือเป็น เรื่องปกติ
ผู้บริหารการศึกษาตั้งแต่ชั้นต้นๆ อย่างเช่น ในชั้นมัธยมอเมริกันส่งเสริมให้นักเรียนวิจารณ์งานเขียน งานวรรณกรรม เพื่อให้เกิดการต่อยอดทางความคิด เกิดเป็นความคิดใหม่ๆขึ้นมา เพราะการวิจารณ์ที่ดีนั้น ผู้วิจารณ์ต้องทำความเข้าใจกับเรื่องที่ตนวิจารณ์มาอย่างดี ถึงจะเรียกว่าเป็นนักวิจารณ์ที่ดี การวิจารณ์จึงเป็นการมองจากรากคือ ฐานความรู้เดิมและการต่อยอด ซึ่งอาจหมายถึงความรู้ใหม่หรือนวัตกรรม
ใน ชั้นเรียนของโรงเรียนอเมริกันแทบทุกระดับ การโต้แย้ง โต้เถียงกันแบบแรงๆ จึงไม่ใช่ของแปลก และไม่ใช่ของแปลกเช่นกันหากว่า ครูอาจารย์กับนักเรียนนักศึกษามีความเห็นในเรื่องวิชาการความรู้ไม่ตรงกัน และเกิดโต้เถียงกัน อย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งเรื่องนี้ในสังคมไทยไม่อาจรับได้ มิหนำซ้ำ หากเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ก็จะมีผู้นำ“กรอบศีลธรรม” มาจับ กลายเป็นการเนรคุณ ไม่เคารพครูบาอาจารย์ไป
ดัง เหตุการณ์ล่าสุด คือ การประท้วงไม่เอาด้วยกับร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งของอาจารย์ มหาวิทยาลัยหลายแห่งในเมืองไทย อาจารย์บางคนดำเนินการในลักษณะของการบังคับให้นักศึกษา ต้องออกไปประท้วงหรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.เหมือนกับตน โดยไม่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ แสดงความเห็นที่เป็นอัตลักษณ์ของตนเอง มีการครอบงำความคิดของผู้เรียน โดยใช้คะแนนหรือเกรด ที่เป็นตัวกดดัน เช่น จะมีคะแนนให้ถ้านักศึกษาไปร่วมกิจกรรมประท้วง แต่ถ้าไม่ไปประท้วง ไม่มีคะแนนให้ ซึ่งเป็นการบังคับให้นักศึกษาเหล่านั้นต้องสยบยอม ไม่กล้าโต้แย้ง แม้มีความเห็นไม่ตรงกับอาจารย์ เป็นการสร้างความเก็บกดให้เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนโดยตรง
การที่ อาจารย์คนใดมีพฤติกรรมเช่นนี้ จึงเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ และเข้าข่ายละเมิดจรรยาบรรณ ของความเป็นครูอาจารย์อย่างมาก ที่ผ่านมาเราพูดถึงจรรยาบรรณของคนทำอาชีพอื่น แต่เราไม่ค่อยได้พูดถึง จรรยาบรรณของครูอาจารย์ในสถาบันการศึกษาไทย เพราะมองกันว่า ครูอาจารย์คือ ปูชนียบุคคล ตลอดกาล ขณะที่ในโลกสมัย การทำหน้าที่ของครูอาจารย์เชื่อมโยงกับเหตุปัจจัยต่างๆ มากกว่า “สมัยก่อน”มากมาย เช่น ระบบทุน(เงินเดือน ค่าตอบแทน ผลประโยชน์แฝง) ระบบการเมือง(ความคิดทางการเมือง) ค่านิยมหรือกระแสสังคม(การรับงานข้างนอกมา การนิยมออกสื่อ) ที่เปลี่ยนไป
อย่า ว่าแต่นักเรียนจะแย้งครูอาจารย์เลยครับ ในสังคมไทยนั้นแม้แต่นักเรียนแย้งนักเรียนกันเองก็น่าจะยากด้วยซ้ำ วัฒนธรรม การวิพากษ์วิจารณ์ของไทยแท้จริงแล้วจึงยังไม่เกิด หากที่มีเป็นวัฒนธรรมการตามอย่าง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ลัทธิประชาธิปไตยฝังรากลงได้ช้า คติเดินตามผู้ใหญ่สุนัขไม่กัด ยังใช้ได้เสมอทุกยุคทุกสมัยแม้กระทั่งในสมัยปัจจุบัน เป็นคติเดียวกับคติที่ใช้ได้ดีที่สุดในสังคมเส้นสายอุปถัมภ์
ในรั้วมหาวิทยาลัยของไทยส่วนใหญ่ยังเต็มไปด้วยการตั้งรับของนักศึกษา การจะหาคนที่กระทำ เชิงรุกในเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องยาก แถมดีไม่ดีอาจถูกเขม่นจากอาจารย์ผู้สอนเอาได้ด้วยซ้ำ การดำรงตน อย่างมีอัตลักษณ์ของผู้เรียนในเมืองไทยจึงเป็นเรื่องไม่ง่าย ยิ่งในระดับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ตั้งแต่ปริญญาโทขึ้นไป การประเมินผลการศึกษาของผู้เรียนถูกกำหนดโดยอาจารย์ที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่อง นวัตกรรมองค์ความรู้ มุ่งเพียงการยักย้ายถ่ายเทเล่นแร่แปรธาตุองค์ความรู้เดิม
แน่นอนว่า ความรู้เดิมมีค่าความผิดพลาดของการวิจัยน้อยกว่าความรู้เชิงนวัตกรรม แต่งานวิจัยที่ให้ผลผลิตเป็นนวัตกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย และควรได้รับการใส่ใจสนับสนุนมากกว่าความรู้เดิม ซึ่งนับวันการวิจัยประเภทนี้จะกองสูงพะเนินเทินทึกกลายเป็นขยะกระดาษเต็ม เมือง คือ เป็นงานวิจัยที่นำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เรียกกันว่า งานวิจัยประเภทเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งนิยมทำกันเพื่อขอให้ผ่านและได้วุฒิการศึกษา
เหนือไปกว่านั้น แม้นมีนวัตกรรมการวิจัยก็จริง แต่ก็ปรากฎว่างานวิชาการดังกล่าว หลายชิ้นไม่ได้ รับการต่อยอดด้วยการวิจารณ์ งานวิชาการจำนวนมากที่มีการสร้างสรรผลผลิตเชิงนวัตกรรมกลับตกอยู่ใน “ความเงียบ” เหมือนไม่เคยมีงานวิจัยเหล่านี้เกิดขึ้น สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจต่อการวิจารณ์เพื่อต่อยอดองค์ ความรู้ อย่างน้อยการวิจารณ์ก็จะได้เห็นข้อดีข้อด้อยของงานวิจัย นวัตกรรมน่าจะถูกวิจารณ์ตรวจสอบมาก กว่าที่เป็นอยู่นี้
จึง สรุปได้ว่า ไทยไม่มีวัฒนธรรมการวิจารณ์ เหมือนเราเกรงกลัวอะไรบางอย่าง เกรงจะสูญเสีย สถานะที่กำลังเป็นอยู่ เกรงที่จะหลุดออกไปจากระบบอุปถัมภ์แบบเดิมๆ หรือเกรงระบบอุปถัมภ์จะลงโทษ แยกไม่ออกว่าอันไหนคือข้อเท็จจริง อันไหนคือการวิจารณ์
ขณะ ที่การประเมินคุณภาพการศึกษาของไทย ยังไม่มีการนำระบบหรือวัฒนธรรมการวิจารณ์มาใช้ เพื่อประเมินคุณภาพการศึกษาให้ชัดเจน ทำให้สถาบันการศึกษาเองไม่ค่อยส่งเสริมวัฒนธรรมการวิจารณ์ เพราะเกรงว่าวันหนึ่งนิสิตนักศึกษาจะย้อนกลับมาวิจารณ์ตัวสถาบันหรือตัว อาจารย์ผู้สอนเอง ซึ่งว่าไปแล้วหากนิสิต นักศึกษาสามารถวิพากษ์สถาบันการศึกษาของตนเอง การวิพากษ์ดังกล่าวจะเป็นเหมือนกระจกสะท้อนความเป็นไปของสถาบันเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่สถาบันจะต้องยอมรับทัศนะวิจารณ์เหล่านั้น
นอกเหนือ ไปจากการสยบยอมกับงานศึกษาวิจัยเอาดื้อๆ โดยไม่ค่อยมีความเห็นโต้แย้งมากมายนัก ให้เห็น อาจารย์หรือกรรมการคุมสอบว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น
การวิจารณ์ ในสถาบันการศึกษาจึงเป็นประเด็นย่อยในประเด็นใหญ่ คือ สิทธิเสรีภาพในการพูด และการแสดงออกซึ่งจะต้องสร้างให้กลายเป็นวัฒนธรรมขึ้นมา และจะต้องไม่ให้การวิจารณ์นั้นถูกริดรอน โดยเงามืดของระบบเส้นสายอุปถัมภ์ ซึ่ง “เงามืด” ดังกล่าวส่วนหนึ่งหมายถึงสิ่งที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในการแสดงออกซึ่ง ความคิดเห็น ตามหลักการ ตามหลักแห่งเหตุและผล
นอกจากการวิจารณ์หรือการแสดงความ เห็นในวงการสื่อสารมวลแล้ว อีกวงการหนึ่งที่ดูเหมือน วัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์จะโดดเด่นมากเช่นกัน คือ วงการการศึกษา โดยเฉพาะในแวดวงวิชาการอเมริกัน ที่ถือเสมือนว่า วัฒนธรรมการวิจารณ์คือการพัฒนาองค์ความรู้ โดยการวิจารณ์นิยมกระทำผ่านการสนทนา ตอบโต้ในห้องเรียนหรือสถานที่สาธารณะ การสนทนาผ่านสื่อประเภทต่างๆ อย่างเปิดเผยตรงไปตรง มา เรื่องนี้ทำให้สังคมอเมริกันในแวดวงการศึกษาเกิดการพัฒนาองค์ความรู้ออกไป อย่างกว้าง เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะการแสดงความเห็นเชิงเหตุเชิงผลว่ายอมรับหรือไม่ยอมรับงานวิชาการแต่ละ ชิ้น เป็นการกระทำอย่างเปิดเผย ไม่ใช่เป็นแบบซุบซิบนินทากันแต่เพียงในกลุ่ม
การวิ จารณ์ จึงเป็นการแสดงความรู้ความสามารถของผู้วิจารณ์อย่างชัดเจน ในเมื่อสังคมอเมริกันเป็นสังคมเปิด การยอมรับการวิจารณ์ยังช่วยเป็นกระจกส่องตัวตนของคนที่ถูกวิจารณ์ รวมกระทั่งถึงความเป็นไปของสังคมนั้นอีกด้วย
สังคมอเมริกันจึงมี พื้นที่ในการวิจารณ์มาก และวัฒนธรรมการวิจารณ์ในแบบฉบับอเมริกันไม่ได้ดึงสังคมไปสู่ความขัดแย้งใน สังคม ความขัดแย้งนั้นถ้าจะมี ก็เป็นเพียงความขัดแย้งหรือความไม่เห็นด้วยทางความคิดเท่านั้นซึ่งถือเป็น เรื่องปกติ
ผู้บริหารการศึกษาตั้งแต่ชั้นต้นๆ อย่างเช่น ในชั้นมัธยมอเมริกันส่งเสริมให้นักเรียนวิจารณ์งานเขียน งานวรรณกรรม เพื่อให้เกิดการต่อยอดทางความคิด เกิดเป็นความคิดใหม่ๆขึ้นมา เพราะการวิจารณ์ที่ดีนั้น ผู้วิจารณ์ต้องทำความเข้าใจกับเรื่องที่ตนวิจารณ์มาอย่างดี ถึงจะเรียกว่าเป็นนักวิจารณ์ที่ดี การวิจารณ์จึงเป็นการมองจากรากคือ ฐานความรู้เดิมและการต่อยอด ซึ่งอาจหมายถึงความรู้ใหม่หรือนวัตกรรม
ใน ชั้นเรียนของโรงเรียนอเมริกันแทบทุกระดับ การโต้แย้ง โต้เถียงกันแบบแรงๆ จึงไม่ใช่ของแปลก และไม่ใช่ของแปลกเช่นกันหากว่า ครูอาจารย์กับนักเรียนนักศึกษามีความเห็นในเรื่องวิชาการความรู้ไม่ตรงกัน และเกิดโต้เถียงกัน อย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งเรื่องนี้ในสังคมไทยไม่อาจรับได้ มิหนำซ้ำ หากเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ก็จะมีผู้นำ“กรอบศีลธรรม” มาจับ กลายเป็นการเนรคุณ ไม่เคารพครูบาอาจารย์ไป
ดัง เหตุการณ์ล่าสุด คือ การประท้วงไม่เอาด้วยกับร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งของอาจารย์ มหาวิทยาลัยหลายแห่งในเมืองไทย อาจารย์บางคนดำเนินการในลักษณะของการบังคับให้นักศึกษา ต้องออกไปประท้วงหรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.เหมือนกับตน โดยไม่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ แสดงความเห็นที่เป็นอัตลักษณ์ของตนเอง มีการครอบงำความคิดของผู้เรียน โดยใช้คะแนนหรือเกรด ที่เป็นตัวกดดัน เช่น จะมีคะแนนให้ถ้านักศึกษาไปร่วมกิจกรรมประท้วง แต่ถ้าไม่ไปประท้วง ไม่มีคะแนนให้ ซึ่งเป็นการบังคับให้นักศึกษาเหล่านั้นต้องสยบยอม ไม่กล้าโต้แย้ง แม้มีความเห็นไม่ตรงกับอาจารย์ เป็นการสร้างความเก็บกดให้เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนโดยตรง
การที่ อาจารย์คนใดมีพฤติกรรมเช่นนี้ จึงเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ และเข้าข่ายละเมิดจรรยาบรรณ ของความเป็นครูอาจารย์อย่างมาก ที่ผ่านมาเราพูดถึงจรรยาบรรณของคนทำอาชีพอื่น แต่เราไม่ค่อยได้พูดถึง จรรยาบรรณของครูอาจารย์ในสถาบันการศึกษาไทย เพราะมองกันว่า ครูอาจารย์คือ ปูชนียบุคคล ตลอดกาล ขณะที่ในโลกสมัย การทำหน้าที่ของครูอาจารย์เชื่อมโยงกับเหตุปัจจัยต่างๆ มากกว่า “สมัยก่อน”มากมาย เช่น ระบบทุน(เงินเดือน ค่าตอบแทน ผลประโยชน์แฝง) ระบบการเมือง(ความคิดทางการเมือง) ค่านิยมหรือกระแสสังคม(การรับงานข้างนอกมา การนิยมออกสื่อ) ที่เปลี่ยนไป
อย่า ว่าแต่นักเรียนจะแย้งครูอาจารย์เลยครับ ในสังคมไทยนั้นแม้แต่นักเรียนแย้งนักเรียนกันเองก็น่าจะยากด้วยซ้ำ วัฒนธรรม การวิพากษ์วิจารณ์ของไทยแท้จริงแล้วจึงยังไม่เกิด หากที่มีเป็นวัฒนธรรมการตามอย่าง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ลัทธิประชาธิปไตยฝังรากลงได้ช้า คติเดินตามผู้ใหญ่สุนัขไม่กัด ยังใช้ได้เสมอทุกยุคทุกสมัยแม้กระทั่งในสมัยปัจจุบัน เป็นคติเดียวกับคติที่ใช้ได้ดีที่สุดในสังคมเส้นสายอุปถัมภ์
ในรั้วมหาวิทยาลัยของไทยส่วนใหญ่ยังเต็มไปด้วยการตั้งรับของนักศึกษา การจะหาคนที่กระทำ เชิงรุกในเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องยาก แถมดีไม่ดีอาจถูกเขม่นจากอาจารย์ผู้สอนเอาได้ด้วยซ้ำ การดำรงตน อย่างมีอัตลักษณ์ของผู้เรียนในเมืองไทยจึงเป็นเรื่องไม่ง่าย ยิ่งในระดับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ตั้งแต่ปริญญาโทขึ้นไป การประเมินผลการศึกษาของผู้เรียนถูกกำหนดโดยอาจารย์ที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่อง นวัตกรรมองค์ความรู้ มุ่งเพียงการยักย้ายถ่ายเทเล่นแร่แปรธาตุองค์ความรู้เดิม
แน่นอนว่า ความรู้เดิมมีค่าความผิดพลาดของการวิจัยน้อยกว่าความรู้เชิงนวัตกรรม แต่งานวิจัยที่ให้ผลผลิตเป็นนวัตกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย และควรได้รับการใส่ใจสนับสนุนมากกว่าความรู้เดิม ซึ่งนับวันการวิจัยประเภทนี้จะกองสูงพะเนินเทินทึกกลายเป็นขยะกระดาษเต็ม เมือง คือ เป็นงานวิจัยที่นำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เรียกกันว่า งานวิจัยประเภทเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งนิยมทำกันเพื่อขอให้ผ่านและได้วุฒิการศึกษา
เหนือไปกว่านั้น แม้นมีนวัตกรรมการวิจัยก็จริง แต่ก็ปรากฎว่างานวิชาการดังกล่าว หลายชิ้นไม่ได้ รับการต่อยอดด้วยการวิจารณ์ งานวิชาการจำนวนมากที่มีการสร้างสรรผลผลิตเชิงนวัตกรรมกลับตกอยู่ใน “ความเงียบ” เหมือนไม่เคยมีงานวิจัยเหล่านี้เกิดขึ้น สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจต่อการวิจารณ์เพื่อต่อยอดองค์ ความรู้ อย่างน้อยการวิจารณ์ก็จะได้เห็นข้อดีข้อด้อยของงานวิจัย นวัตกรรมน่าจะถูกวิจารณ์ตรวจสอบมาก กว่าที่เป็นอยู่นี้
จึง สรุปได้ว่า ไทยไม่มีวัฒนธรรมการวิจารณ์ เหมือนเราเกรงกลัวอะไรบางอย่าง เกรงจะสูญเสีย สถานะที่กำลังเป็นอยู่ เกรงที่จะหลุดออกไปจากระบบอุปถัมภ์แบบเดิมๆ หรือเกรงระบบอุปถัมภ์จะลงโทษ แยกไม่ออกว่าอันไหนคือข้อเท็จจริง อันไหนคือการวิจารณ์
ขณะ ที่การประเมินคุณภาพการศึกษาของไทย ยังไม่มีการนำระบบหรือวัฒนธรรมการวิจารณ์มาใช้ เพื่อประเมินคุณภาพการศึกษาให้ชัดเจน ทำให้สถาบันการศึกษาเองไม่ค่อยส่งเสริมวัฒนธรรมการวิจารณ์ เพราะเกรงว่าวันหนึ่งนิสิตนักศึกษาจะย้อนกลับมาวิจารณ์ตัวสถาบันหรือตัว อาจารย์ผู้สอนเอง ซึ่งว่าไปแล้วหากนิสิต นักศึกษาสามารถวิพากษ์สถาบันการศึกษาของตนเอง การวิพากษ์ดังกล่าวจะเป็นเหมือนกระจกสะท้อนความเป็นไปของสถาบันเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่สถาบันจะต้องยอมรับทัศนะวิจารณ์เหล่านั้น
นอกเหนือ ไปจากการสยบยอมกับงานศึกษาวิจัยเอาดื้อๆ โดยไม่ค่อยมีความเห็นโต้แย้งมากมายนัก ให้เห็น อาจารย์หรือกรรมการคุมสอบว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น
การวิจารณ์ ในสถาบันการศึกษาจึงเป็นประเด็นย่อยในประเด็นใหญ่ คือ สิทธิเสรีภาพในการพูด และการแสดงออกซึ่งจะต้องสร้างให้กลายเป็นวัฒนธรรมขึ้นมา และจะต้องไม่ให้การวิจารณ์นั้นถูกริดรอน โดยเงามืดของระบบเส้นสายอุปถัมภ์ ซึ่ง “เงามืด” ดังกล่าวส่วนหนึ่งหมายถึงสิ่งที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในการแสดงออกซึ่ง ความคิดเห็น ตามหลักการ ตามหลักแห่งเหตุและผล
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น