เคอร์ฟิว ห้าม ปชช.ออกนอกเคหสถาน ตั้งแต่ 22.00-05.00น.-งดการกระจายเสียงและออกอากาศวิทยุ โทรทัศน์
22 พ.ค. 2557 ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 2-4
http://www.prachatai.com/journal/2014/05/53394
นักวิชาการสับ 'รัฐประหาร' ทำลายโอกาสแก้ปัญหาด้วยสันติ พาประเทศถอยหลัง
22 พ.ค. 2557 เวลา 17.00น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนราว 30-40 คน
ซึ่งเดิมนัดรวมตัวต้านการประกาศกฎอัยการศึก บริเวณลานปรีดี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ต่อมา
หลังทราบข่าวการรัฐประหารจึงเปลี่ยนมาเป็นต้านรัฐประหาร โดยใช้เวลาปราศรัย
ราว 15 นาทีก่อนยุติการรวมตัว
ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่เศร้าที่สุดอีกวันหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย
ทหารได้ทำรัฐประหารในยุคที่จริงๆ แล้วการเมือง ประชาชน
และมวลชนทุกฝ่ายไม่ว่าจะเห็นต่างกันอย่างไร ได้เติบโตขึ้นในทางที่มีคุณภาพ
และจริงๆ
แล้วมีโอกาสพัฒนาประชาธิปไตยต่อไปในอนาคตได้ท่ามกลางความเห็นต่างนี้
การเข้ามาแทรกแซงของทหาร ทำให้การเมืองไทยถอยหลังไปอีกหลายสิบปี
กลายเป็นประเทศที่ตอนนี้มีระดับการพัฒนาทางการเมือง
ล้าหลังที่สุดในอาเซียนแล้ว
ประจักษ์ กล่าวว่า อย่าลืมว่าไม่มีประเทศไหนทำรัฐประหารซ้ำกันถึงสองครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงสิบปี ในแง่นี้ประเทศไทยได้อยู่อันดับรั้งท้ายที่สุดในโลกแล้ว ด้วยการทำรัฐประหารในวันนี้ และจากประสบการณ์ไม่ว่าที่ไหนในโลกหรือของสังคมไทยเอง การรัฐประหารไม่เคยนำมาซึ่งการปฏิรูปสังคมที่ก้าวหน้าขึ้น และไม่เคยขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจสังคม หรือแก้ไขความขัดแย้งในสังคมได้ ถ้าเรามีบทเรียนจากการรัฐประหารปี 49 คงเห็นแล้วว่ารัฐบาลทหารที่มาหลังรัฐประหารไม่ได้มีความสามารถในการบริหาร ประเทศที่ดีขึ้นกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มีพฤติกรรมในการใช้อำนาจที่ปลอดจากทุจริตคอร์รัปชันอย่างที่แอบอ้าง
"แล้วถ้าถามว่าความแตกแยกในสังคมไทยเริ่มจากไหน ก็เริ่มจาก ณ วันที่ 19 ก.ย.2549 และผมเชื่อว่าการรัฐประหารในวันนี้จะยิ่งทำให้สังคมไทยแตกแยกกัน ร้าวลึกมากขึ้น เพราะเราได้ทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความขัด แย้งของคนในชาติด้วยสันติวิธี"
ประจักษ์ กล่าวว่า อย่าลืมว่าไม่มีประเทศไหนทำรัฐประหารซ้ำกันถึงสองครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงสิบปี ในแง่นี้ประเทศไทยได้อยู่อันดับรั้งท้ายที่สุดในโลกแล้ว ด้วยการทำรัฐประหารในวันนี้ และจากประสบการณ์ไม่ว่าที่ไหนในโลกหรือของสังคมไทยเอง การรัฐประหารไม่เคยนำมาซึ่งการปฏิรูปสังคมที่ก้าวหน้าขึ้น และไม่เคยขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจสังคม หรือแก้ไขความขัดแย้งในสังคมได้ ถ้าเรามีบทเรียนจากการรัฐประหารปี 49 คงเห็นแล้วว่ารัฐบาลทหารที่มาหลังรัฐประหารไม่ได้มีความสามารถในการบริหาร ประเทศที่ดีขึ้นกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มีพฤติกรรมในการใช้อำนาจที่ปลอดจากทุจริตคอร์รัปชันอย่างที่แอบอ้าง
"แล้วถ้าถามว่าความแตกแยกในสังคมไทยเริ่มจากไหน ก็เริ่มจาก ณ วันที่ 19 ก.ย.2549 และผมเชื่อว่าการรัฐประหารในวันนี้จะยิ่งทำให้สังคมไทยแตกแยกกัน ร้าวลึกมากขึ้น เพราะเราได้ทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความขัด แย้งของคนในชาติด้วยสันติวิธี"
ประจักษ์ระบุว่า ถึงที่สุด รัฐประหารนี้ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอ้างว่า นุ่มนวลแค่ไหน หรือจะไม่ใช้กำลัง โดยตัวมันเองคือความรุนแรงทางการเมืองแล้ว เพราะกองทัพไม่มีความชอบธรรมอะไรเลยในการเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง หรือบริหารกิจการบ้านเมือง ฉะนั้น วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่สิทธิเสรีภาพและสิทธิทางการเมืองของคนไทย ถูกทำลายลงและโอกาสในการช่วยแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีได้ถูกทำลายลง
"ถ้าความรุนแรงทางการเมืองใดๆ เกิดขึ้นหลังจากนี้ กองทัพจะต้องเป็นคนรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียวในสังคมไทย ที่มาปิดประตูการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีในสังคมไทย" ประจักษ์กล่าว และฝากถึงคณะรัฐประหารว่าอย่าใช้กำลังสลายการชุมนุมของมวลชนไม่ว่าฝ่ายไหน เพราะจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น พร้อมเรียกร้องให้กองทัพคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด
พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พวงทอง ให้สัมภาษณ์ว่า วิธีการแก้ปัญหาของทหารเป็นวิธีการที่ใช้กำลัง นี่เป็นสิ่งที่เขาถูกฝึกฝนมาตลอด เวลาจะจัดการอะไรจะแบ่งกลุ่มต่างๆ เป็นขาวเป็นดำเสมอ การใช้การแก้ปัญหาโดยใช้กำลังเป็นหลักเลี่ยงไม่ได้ที่จะจบลงด้วยการนองเลือด มักมีการตอบโต้การต่อต้านด้วยกำลังมากกว่าการเจรจา และเขาก็รู้ว่าการมีอาวุธอยู่ในมือเป็นจุดแข็งที่สุดของเขา
ทั้งนี้ พวงทอง มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ควบคู่ไปกับการใช้กำลังทหาร คือการปิดกั้นไม่ให้คนคิด-แสดงความคิดเห็น เพราะสิ่งที่ทหารมีคืออาวุธเท่านั้น แต่อาวุธไม่สามารถเอาชนะจิตใจและความคิดของคนได้ สิ่งที่เขาจะทำได้คือปิดกั้นไม่ให้คนคิดและเผยแพร่ความคิดออกมา หลังจากนี้จะมีคนถูกจับกุมอีกมาก เพื่อสร้างความหวาดกลัวไม่ให้ประชาชนต่อต้าน แต่ความกลัวของประชาชน มีขีดจำกัดเช่นกัน ที่สุดแล้วศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ว่ายิ่งใหญ่ แค่ไหน ท้ายที่สุด ประชาชนจะไม่กลัวและออกมาต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ย้ำว่า ไม่อยากเห็นการเสียชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนที่ออกมาต่อสู้ เข้าใจว่าประชาชนที่ออกมาต่อสู้มีความคับแค้นใจมาตลอด โดยเฉพาะประชาชนคนเสื้อแดงที่ถูกกระทำตลอดเวลา หากบอกว่าอย่าทำอะไรเลย ประชาชนคงไม่ฟัง แต่หากจะทำขอให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองด้วย อย่าเอาชีวิตไปแลกจนกว่าจะได้ประชาธิปไตย จะต้องหาวิธีการต่อสู้ที่จะทำให้เห็นว่าประชาชนจำนวนมากไม่ยอมรับกับรัฐ ประหารนี้และปกป้องชีวิตของตัวเองด้วย
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2014/05/53398
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น