'นิติราษฎร์' ชี้การประกาศใช้อัยการศึกไม่ชอบด้วย รธน.
นิติราษฎร์โต้อำนาจประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศเป็นของกษัตริย์
ต้องมีผู้ลงนามรับสนองฯ ทำได้ต้องเกิด 'สงคราม' หรือ 'จลาจล'
ข้อเท็จจริงยังไม่ใช่ เสนอรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบทูลเกล้าฯ
กษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยยกเลิกประกาศกฎอัยการศึก
20 พ.ค.2557 คณะนิติราษฎร์ ออกแถลงการณ์ เรื่อง การประกาศใช้กฎอัยการศึกไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย มีรายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์ คณะนิติราษฎร์
เรื่อง การประกาศใช้กฎอัยการศึกไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
ตามที่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงนามประกาศกองทัพบก ฉบับที่ ๑/๒๕๕๗ เรื่องการประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ นั้น คณะนิติราษฎร์พิจารณาแล้ว เห็นว่าประกาศกองทัพบกดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ด้วยเหตุผล ดังต่อไปนี้
๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๘ บัญญัติว่า
“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้และเลิกใช้กฎอัยการศึก
ตามลักษณะและวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก” และวรรคสอง
“ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกเฉพาะแห่งเป็นการรีบด่วน
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารย่อมกระทำได้ตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก” และมาตรา ๑๙๕
บัญญัติว่า “บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา
และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน
ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญนี้”
พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.๒๔๕๗ มาตรา ๒ บัญญัติว่า
“เมื่อเวลามีเหตุอันจำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยปราศจากภัย
ซึ่งจะมาจากภายนอกหรือภายในราชอาณาจักรแล้ว
จะได้มีประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้กฎอัยการศึกทุกมาตราหรือแต่บางมาตรา
หรือข้อความส่วนใดส่วนหนึ่งของมาตรา
ตลอดจนการกำหนดเงื่อนไขแห่งการใช้บทบัญญัตินั้นบังคับในส่วนหนึ่งส่วนใดของ
ราชอาณาจักรหรือตลอดทั่วราชอาณาจักร และถ้าได้ประกาศใช้เมื่อใด หรือ ณ
ที่ใดแล้ว บรรดาข้อความในพระราชบัญญัติหรือบทกฎหมายใดๆ
ซึ่งขัดกับความของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับต้องระงับ
และใช้บทบัญญัติของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับนั้นแทน”
จากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.๒๔๕๗ ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการประกาศใช้กฎอัยการศึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศให้มีผลใช้บังคับตลอดทั่วราชอาณาจักรเป็นพระราช อำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะต้องกระทำในรูปแบบพระบรมราชโองการ และต้องมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการประกาศ ใช้กฎอัยการศึก หาใช่อำนาจของผู้บัญชาการทหารบกไม่
จากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.๒๔๕๗ ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการประกาศใช้กฎอัยการศึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศให้มีผลใช้บังคับตลอดทั่วราชอาณาจักรเป็นพระราช อำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะต้องกระทำในรูปแบบพระบรมราชโองการ และต้องมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการประกาศ ใช้กฎอัยการศึก หาใช่อำนาจของผู้บัญชาการทหารบกไม่
๒. การประกาศใช้กฎอัยการศึกเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งซึ่งเป็นอำนาจของผู้ บัญชาการทหารในเขตพื้นที่นั้น ซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน หรือเป็นผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใดๆของทหารตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.๒๔๕๗ นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เกิด “สงคราม” หรือ “จลาจล” เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ยังไม่ปรากฏว่าเกิด “สงคราม” หรือ “จลาจล” ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งอันจะเป็นเหตุให้ผู้บังคับบัญชาทหาร ณ ที่แห่งนั้นหรือผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใดๆมีอำนาจประกาศใช้กฎ อัยการศึกได้แต่อย่างใด อนึ่ง หากมีการใช้อำนาจตามมาตรานี้ประกาศใช้กฎอัยการศึก ผู้ประกาศก็จะต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด อันแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เมื่อมีเหตุสงครามหรือจลาจลในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ทหารก็ไม่สามารถมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือนได้
๓. ประกาศกองทัพบก ฉบับที่ ๑/๒๕๕๗ ได้อ้างสถานการณ์ที่มีการชุมนุมทางการเมืองหลายกลุ่มในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ตลอดจนพื้นที่ต่างๆของประเทศ เพื่อประกาศใช้กฎอัยการศึกให้มีผลทั่วราชอาณาจักร เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น การชุมนุมทางการเมืองอยู่ในอาณาเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไม่ได้ครอบคลุมไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ การประกาศกฎอัยการศึกโดยให้มีผลทั่วราชอาณาจักรจึงเกินความจำเป็น ขัดกับหลักความพอสมควรแก่เหตุหรือหลักความได้สัดส่วนที่เรียกร้องว่าการ จำกัดสิทธิและเสรีภาพต้องกระทำเท่าที่จำเป็น ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในระดับรัฐธรรมนูญ อนึ่ง ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยอย่างรุนแรงจนถึงขนาดจำเป็นต้อง ใช้มาตรการพิเศษเพื่อจัดการแก้ไขปัญหา รัฐบาลสามารถใช้มาตรการตามกฎหมายพิเศษ ๒ ฉบับได้แก่ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ และการประกาศตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกแต่อย่างใด
๔. เมื่อพิจารณาจากข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงทั้งปวงข้างต้นแล้ว คณะนิติราษฎร์เห็นว่าประกาศกองทัพบก ฉบับที่ ๑/๒๕๕๗ เรื่องการประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เนื่องจากผู้บัญชาการทหารบกไม่ใช่องค์กรเจ้าหน้าที่ผู้ทรงอำนาจประกาศใช้กฎ อัยการศึกให้มีผลใช้บังคับตลอดทั่วราชอาณาจักร และการประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึกดังกล่าวไม่ได้กระทำตามแบบที่ กฎหมายกำหนด คือ ไม่ได้กระทำในรูปของประกาศพระบรมราชโองการ แต่กลับกระทำในรูปของ “ประกาศกองทัพบก” ความไม่มีอำนาจของ “เจ้าหน้าที่” และการกระทำผิดแบบดังกล่าวเป็นความบกพร่องที่ร้ายแรงและเห็นประจักษ์ชัด จึงส่งผลให้ประกาศกองทัพบกฉบับที่ ๑/๒๕๕๗ และฉบับต่อๆมาไม่มีผลในทางกฎหมาย
อย่างไรก็ตามเพื่อขจัดข้อถกเถียงว่าการประกาศใช้กฎอัยการศึกดังกล่าว ยังคงมีผลในทางกฎหมายอยู่หรือไม่ และเพื่อขจัดความสับสนในทางปฏิบัติของบรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตลอดจนบุคคลทั่วไปว่าจะต้องปฏิบัติตามประกาศกองทัพบกและประกาศฉบับอื่นๆต่อ มาหรือไม่ คณะนิติราษฎร์จึงเสนอให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบนำร่างพระบรมราชโองการยกเลิก ประกาศกองทัพบกฉบับที่ ๑/๒๕๕๗ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยยกเลิกการ ประกาศใช้กฎอัยการศึกตาม มาตรา ๕ ของพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.๒๔๕๗ ต่อไป
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น