จาก : มติชน สุดสัปดาห์
ฉบับประจำวันที่ 19 – 25 สิงหาคม พ.ศ.2554
คอลัมน์ : หลักศิลา กลางน้ำเชี่ยว
โดย : มุกดา สุวรรณชาติ
ในรอบ 50 ปีนี้ ไม่เคยมีครั้งใดที่ประชาชนจะตอบรับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยมากมายเท่าครั้งนี้
ช่วง ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาจึงเกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงต่อเนื่องกันหลายครั้ง แสดงให้เห็นถึงกระแสประชาธิปไตยที่ซึมลึกสู่คนชั้นล่างแบบที่ว่า ไม่ต้องจ้างกูมาเอง
แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาสอนให้เรารู้ว่า กำลังของฝ่ายประชาชนที่ขาดการจัดตั้งจะถูกโค่นล้มในช่วงระยะเวลาอันสั้นและ ระบอบเผด็จการก็จะหวนกลับคืนมาทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้มีผู้วิเคราะห์ ว่าสภาพแวดล้อมทางสังคมทุกด้านและระบบการสื่อสาร เปิดโอกาสให้พลังฝ่ายประชาธิปไตยเติบโตได้อย่างรวดเร็ว การต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมา ก็มีความซับซ้อนและยึดเยื้อ ใช้ทั้งอาวุธและกฎหมาย ผลัดกันรุกผลัดกันรับหลายครั้ง ตลอดระยะเวลา 6 ปี และจะยังมีการต่อสู้ยึดยาวออกไปอีกประมาณ 4 ปี
จะจบแบบไหนไม่มีใครรู้ แต่กลุ่มคนเสื้อแดงคงจะเป็นตัวเอกในการต่อสู้ช่วงต่อไป
กำเนิดเป็นแนวร่วม แต่โตเองได้
กลุ่ม คนเสื้อแดงกำเนิดจากนักการเมืองและคนรากหญ้า เป็นส่วนผสมที่เกิดขึ้นเพื่อตอบโต้กับอำนาจนอกระบบซึ่งโค่นรัฐบาลไทยรักไทย และพลังประชาชนไป จึงเป็นการต่อสู้เพื่อทวงคืนประชาธิปไตยที่สมน้ำสมเนื้อ เป็นแนวทางการต่อสู้นอกสภาที่ถือว่าเหมาะสม
จากการต่อสู้ร่วมกัน มีอุดมการณ์ที่คล้ายกันทำให้คนเสื้อแดงกลายเป็นแนวร่วมกับพรรคเพื่อไทย แต่ถึงอย่างไรกลุ่มคนเสื้อแดงก็ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายแบบพรรคการเมือง ไม่ได้เกิดพร้อมพรรคไทยรักไทย ไม่ได้โตแบบพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครมายุบได้แบบพรรคการเมือง
ดังนั้น แม้พรรคเพื่อไทยจะหายไป คนเสื้อแดงก็จะยังอยู่ เป็นปลายแหลมของคมทวนที่พุ่งเป้าไปยังเผด็จการตลอดเวลา
ถึง วันนี้ความเป็นแนวร่วมของกลุ่มคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยยังต้องดำรงอยู่ อย่างเหนียวแน่น เพราะแม้จะชนะเลือกตั้งมาแล้วแต่ก็อาจถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากกลุ่มอำนาจเก่า การปัดแข้งปัดขาขัดขวางการทำงานตามนโยบายหรือการโจมตีทางสื่อเหล่านี้เป็น เรื่องเล็ก ๆ สามารถโต้ตอบได้จัดการได้
แต่การโจมตีโดยใช้กำลังอาวุธและอำนาจตุลาการภิวัตน์ยังประมาทไม่ได้ จะต้องมีการวางแผนตั้งรับให้ดี
เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ในสถานการณ์แบบนี้ ผู้มีประสบการณ์ทางการเมือง 4-5 คน ได้ร่วมกันวิเคราะห์บทบาทของคนเสื้อแดงกับสภาพทางการเมืองในอนาคตไว้ดังนี้
ความคาดหวังของกลุ่มอำนาจเก่า
คน เหล่านี้ยังติดอยู่ในอำนาจจึงไม่ยอมแพ้ เพราะคิดว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นสัญลักษณ์การนำ จะต้องบริหารงานผิดพลาด ไม่สามารถทำตามนโยบายเรื่องใหญ่ ๆ ได้ ซึ่งจะทำให้กระแสความนิยมลดลง
ถ้า ผิดพลาดซ้ำอีกหลายครั้ง ก็จะมีลักษณะคล้ายรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งจะตกต่ำจนประชาชนเสื่อมศรัทธา และในท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดความแตกแยกของพรรคเพื่อไทยกับพรรค ร่วมรัฐบาลและกลุ่มเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย อีกทั้งก็น่าจะมีการแตกแยกของกลุ่มย่อยในพรรคเพื่อไทยเอง ในจังหวะเช่นนี้ก็จะสามารถโจมตีทางการเมืองจนทำให้พ่ายแพ้แบบที่จะฟื้นขึ้น มาได้ยากลำบาก
กลุ่มอำนาจเก่าจะไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญที่มาจากเผด็จการ ซึ่งมีเนื้อหาที่ยกเว้นความผิดให้กับผู้ทำรัฐประหารทั้งก่อนหน้าและหลังรัฐ ประหาร 2549 ไม่เอาผิดกับผู้ที่ทำงานตามคำสั่งหรือรับใช้คณะรัฐประหาร ซึ่งมาตรานี้ยังคงดำรงไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
ที่จริงเป็น กฎเกณฑ์การต่อสู้ตามธรรมชาติที่ผู้ชนะจะแสดงความเป็นเจ้าและกำหนดให้ผู้แพ้ เป็นโจร แต่จุดมุ่งหมายสำคัญคือ ยังต้องการคงอำนาจตามกฎหมายเพื่อจะได้มีอิทธิพลในการแต่งตั้งและควบคุมหน่วย งานที่มีอำนาจ เช่น องค์กรอิสระ วุฒิสภา กระบวนการยุติธรรม และอำนาจทางทหาร โดยพวกเขาจะปลุกปีศาจชื่อทักษิณขึ้นมาเป็นข้ออ้างขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ผู้ มีประสบการณ์ทางการเมืองกลุ่มนี้ได้วิเคราะห์เส้นทางการเดินของกลุ่มคนเสื้อ แดงไว้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ กำลังสำคัญที่ค้ำยันฝ่ายประชาธิปไตยคือพลังมวลชน 16 ล้านคน ซึ่งมีกลุ่มเสื้อแดงเป็นหัวหอก
สถานการณ์ขณะนี้บีบบังคับให้คนเสื้อแดงจะต้องสู้ต่อ ถ้าหยุดอยู่แค่นี้ก็จะพ่ายแพ้ซ้ำ ถ้าสู้ผิดจังหวะก็อาจพ่ายแพ้อีก
การต่อสู้ครั้งนี้ต้องใช้ศิลปะที่ละเอียดอ่อน ถ้าทำได้ดี โอกาสชนะแบบไม่เสียเลือดเนื้อก็อาจเกิดขึ้น
ความ หวังที่จะปรองดองบนพื้นฐานแห่งความยุติธรรมก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง แต่เรื่องนี้ก็มีผู้คัดค้านว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะได้รับชัยชนะแบบไม่ใช้ ความรุนแรง
การคาดคะเนเส้นทางต่อสู้ทางการเมืองจึงเกิดขึ้นสองแนวทางคือ
แนวทางที่1
คาดการณ์ว่าการต่อสู้ทางการเมืองจะต้องเกิดความรุนแรงขึ้นในที่สุด
ผู้ ที่เสนอแนวคิดนี้คาดว่า กลุ่มอำนาจเก่าจะรอเวลาให้รัฐบาลทำงานพลาด แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ก็จะโจมตีทางการเมืองเพื่อให้ความนิยมลดลง จากนั้นจะใช้อำนาจตุลาการภิวัตน์เพื่อเปลี่ยนรัฐบาล
แม้จะใช้กำลัง อาวุธค้ำยัน แต่ไม่น่าจะคุมสถานการณ์ได้เกิน 12 ชั่วโมง เพราะคราวนี้ฝ่ายคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยจะไม่ยอม และความรุนแรงจะเกิดขึ้นบนท้องถนนแน่นอน เพราะคำว่า ปืนลูกซอง จะกลายเป็นสไนเปอร์ และ M16 การให้ยิงต่ำกว่าเข่า ก็จะถูกหัวกับหน้าอก แล้วคราวนี้ใครจะยอมให้ยิงฟรี ๆ
ถ้าไม่สามารถจบลงได้ในระยะสั้น สงครามระยะยาวก็จะเกิดขึ้นแทน นั่นหมายถึงมีการสู้รบกลางเมืองหลายแห่ง ลักษณะชายแดนไทยที่ยาวเหยียดทำให้ไม่สามารถปิดกั้นการส่งอาวุธได้ สงครามจึงขยายไปได้อย่างกว้างขวาง สามารถเกิดขิ้นได้หลายสิบแห่งในเวลาเดียวกัน นั่นหมายถึงเป็นสภาพที่เกินกว่าจะควบคุม
สภาพสงครามแบบนี้จะทำให้ไม่ สามารถผลิตอาหารเลี้ยงตัวเองได้และจะทำให้เมืองใหญ่ทุกเมืองขาดแคลนอาหาร การผลิตทางด้านอุตสาหกรรมก็หยุดชะงัก การท่องเที่ยวก็จะยุติทั้งหมด และจะมีฝ่ายที่พ่ายแพ้ ซึ่งต้องถอยร่นไปอยู่ในเขตที่ปลอดภัยเพื่อเจรจา
แต่ในที่สุดแล้ว ก็จะต้องรบกันจนเกิดความพ่ายแพ้หรือชนะกันอย่างเด็ดขาด
ที่สูญเสียที่สุดคือ คนไทยทั้งประเทศจะต้องสูญเสียอย่างย่อยยับ หนักที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
การคาดคะเนแนวทางที่สอง
ไม่จำเป็นต้องมีความรุนแรง แต่สามารถปรองดองได้
มี คนมองในแง่ดีว่าโลกกำลังพัฒนาตามแนวทางประชาธิปไตย การสื่อสารก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ถ้าพิจารณาจากจังหวะเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายในช่วงนี้ ทั้งการประนีประนอมและการต่อสู้จะประคองให้สถานการณ์ไม่เกิดความรุนแรง เชื่อว่าพลังของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยจะไม่แตกแยกกันในช่วง 1-2 ปีนี้ และคาดว่าผลสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาลจะมีประมาณ 60%
แต่การเติบโตของพลัง มวลชนจะทำให้กลุ่มอำนาจเก่าไม่กล้าใช้ยุทธศาสตร์ที่แตกหัก ขณะเดียวกัน การประนีประนอมและแรงกดดันจากนานาประเทศจะทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการ ต่อสู้บนเส้นทางประชาธิปไตยต่อไป
การแก้รัฐธรรมนูญหรือการร่างรัฐ ธรรมนูญใหม่จะเกิดขึ้นแต่ไม่รวดเร็วนัก กระบวนการนี้จะเสียเวลาในสภา แต่จะถูกเร่งด้วยการเคลื่อนไหวของประชาชน แรงกดดันของประชาชนที่ต้องการแก้ไขน่าจะชนะแรงต้านของฝ่ายที่ต้องการปกป้อง อำนาจ การสะสางความยุติธรรมจะถูกดำเนินการต่อไปซึ่งเมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะต้องมี บางคนถูกผลักออกมาให้รับผิดชอบ และคนส่วนหนึ่งพ้นผิดไป
ถ้าพลังคน เสื้อแดงกับพลังมวลชนตื่นตัวมากขึ้นและเพิ่มกำลังขึ้นก็จะไม่มีใครกล้าใช้ กำลังตัดสินปัญหาอีกต่อไป แต่จะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นในอนาคตคือจะควบคุมพลังที่ก้าวหน้าส่วนนี้ได้อย่างไร
ถ้า ช่วงเวลาของระบอบประชาธิปไตยที่ดำเนินได้ถึง 2 รัฐบาล หรือมีระยะเวลานานพอ เกินกว่า 4 ปี ก็จะมีเวลาเพียงพอที่จะพัฒนาทั้งความคิดและองค์กรจัดตั้งให้มีประสิทธิภาพใน การหนุนช่วยให้ทั้งระบบเดินหน้าต่อไป ปัญหาที่สำคัญของกระบวนการในช่วงนี้คือการควบคุมสื่อหรือความร่วมมือของสื่อ ในการที่จะช่วยผลักดัน ความคิดประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง
แต่ไม่ว่า สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นแนวทางที่หนึ่งหรือแนวทางที่สอง กลุ่มผู้วิเคราะห์ได้ประเมินว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงน่าจะอยู่ในแนว ทางนี้
1) ต้องรักษาความเป็นแนวร่วมกับพรรคเพื่อไทยไว้ต่อไป ไม่ว่าจะมีปัญหามากน้อยอย่างไรก็ไม่มีเวลามานั่งน้อยอกน้อยใจ เพราะยังอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นความเป็นความตาย เหมือนนักมวยตอนพักยก ที่ต้องฟังพี่เลี้ยงแก้ทางมวย ดื่มน้ำ คัดเลือด เตรียมชกต่อ ถ้าอยากมีอำนาจ อยากใช้อำนาจ ก็ต้องรู้จักหา รู้จักใช้ เพราะนั่งทับมันอยู่ทุกวัน
2) กลุ่มคนเสื้อแดง จำเป็นต้องเลือกตั้งกรรมการชุดใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ การต้องต่อสู้คดีความและการจัดตั้งรูปแบบการบริหารที่จะต้องรองรับคนที่จะมา ร่วมจำนวนมาก คาดว่าน่าจะเป็นรูปแบบการจัดตั้งองค์กรแนวราบขนาดใหญ่ มีคณะกรรมการจำนวนมากที่จะมีอำนาจตัดสินใจในเรื่องสำคัญ และจะต้องมีคณะกรรมการบริหารจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในความเคลื่อนไหว
3) แนวทางการเคลื่องไหวของคนเสื้อแดง คงเน้นการเคลื่อนไหวนอกสภาเป็นส่วนใหญ่ อาจจะอยู่ในรูปการชุมนุมหรือการเคลื่อนไหวผ่านสื่อต่าง ๆ โดยมีประเด็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญคือ การเรียกร้องให้นำคนเสื้อแดงให้ออกมาจากคุกและดำเนินคดีอย่างยุติธรรม สะสางและเปิดเผยความจริงคดีการสลายการชุมนุมในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 และคดีของกลุ่มพันธมิตร เยียวยาและชดเชยผู้เกี่ยวข้อง
ส่วนการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อยุติข้อได้เปรียบของฝ่ายเผด็จการยังพอรอได้ การเคลื่อนไหวต่าง ๆ เหล่านี้แม้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอาจไม่เห็นด้วยแต่กลุ่มคนเสื้อแดงก็มีความจำ เป็นจะต้องเคลื่อนไหว และถ้าหากพรรคเพื่อไทยไม่รู้จักจัดการให้เหมาะสม ประเด็นเหล่านี้ก็จะกลายเป็นความขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยได้
4) กลุ่มคนเสื้อแดงยังมีภาระหน้าที่ที่จะต้องโฆษณาอุดมการณ์ประชาธิปไตยผ่าน สื่อหรือรูปแบบอื่น ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางความคิดและเป็นการยกระดับความเข้าใจซึ่งจะสามารถ ทำให้การใช้สิทธิเสรีภาพอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม มิฉะนั้นอาจมีการเคลื่อนไหวในเรื่องต่าง ๆ เกินเลยไปจนกระทั่งเกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนด้วยกันเอง หรือรัฐกับประชาชน ซึ่งเมื่อเกิดความวุ่นวายแล้ว ก็จะเป็นข้ออ้างให้กลุ่มอำนาจเก่าออกมาโจมตีระบอบประชาธิปไตย
5) กลุ่มคนเสื้อแดงสามารถสนับสนุนนโยบายบางเรื่องของรัฐได้ เช่นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท แต่ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนทุกเรื่องและนโยบายใดก็ตามที่ดูแล้วมีปัญหาก็ สามารถคัดค้านได้
ถ้าพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จในการบริหารงานของ กลุ่มเสื้อแดงก็จะเบาลงและขยายกำลังได้ง่าย แต่ถ้าบริหารล้มเหลว กลุ่มคนเสื้อแดงไม่เพียงแต่ต้องทำงานหนัก แต่อาจจะต้องแทรกแซงถึงขั้นเปลี่ยนคนในรัฐบาล
การพัฒนาองค์กรให้มีรูปแบบ การจัดตั้งที่เหมาะสมเพื่อเป็นองค์กรนำในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยขนาดใหญ่ เป็นเรื่องท้าทาย แม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็อยู่ในวิสัยที่ทำได้ ถ้าเพิ่มกำลังได้ขึ้นอีกเท่าตัว พัฒนาความรู้ ความคิดแกนนำทุกระดับ สร้างความสอดคล้องกับภูมิศาสตร์การเมือง ก็จะไม่มีใครกล้าเข้าโจมตีฝ่ายประชาธิปไตยอีก จากนั้นจะมีโอกาสเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยลงในสังคมไทยซึ่งจะต้องใช้ เวลายาวนานพอสมควร
ผู้วิเคราะห์กลุ่มนี้มีความเห็นว่า การเป็น หอก ดาบ โล่ ไม่ใช่เรื่องน่าน้อยใจ และต้องยอมรับว่ามันมีหน้าที่ต่างกับหม้อหุงข้าวและกระเป๋าถือ พร้อมตั้งคำถามง่าย ๆ ทิ้งไว้ว่า :
กลุ่มคนเสื้อแดงสามารถรวมกำลังกันได้ขนาดนี้เพราะอะไร?
เมื่อรวมกำลังขนาดใหญ่ได้แล้ว ได้รับผลตอบแทนอย่างไร?
อำนาจที่แท้จริงมาจากไหน ทำไมตอนที่ได้ สส 377 คนหรือตอนที่ได้เป็นรัฐบาลยุคนายกฯ สมัคร ถูกไล่เหยียบตลอดเวลาไม่มีใครเกรงใจบ้างเลย?
ถ้าเดินหน้าขยายกำลังต่อไป ขยายความคิดประชาธิปไตยต่อไป จะเข้มแข็งกว่าเดิมหรือไม่?
วันนี้ ทักษิณยังอยู่ต่างประเทศ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล จตุพร พรหมพันธุ์ เป็น สส ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็น สส แกนนำเสื้อแดงทุกคนยังอยู่ครบมีเสียงสนับสนุนจากประชาชนถึง 16 ล้านเสียง แต่กลุ่มอำนาจเก่าก็ยังอยู่กันครบเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทุกคนยังไม่ได้ลงจากเวที ยังต้องชกกันต่ออีก 5 ยก
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีหน้าที่การงานที่กำหนดไว้เต็มมือแล้ว จตุพร, ณัฐวุฒิ, หมอเหวง โตจิราการ และคนเสื้อแดงทั้งหมดจะต้องทบทวนหน้าที่ให้ดีเพราะมีงานหนักไม่แพ้กันรอ อยู่.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น