ปรองดองแบบมวลชน???
โดย กาหลิบ
ใน ขณะที่ผู้เจรจา “ปรองดอง” ทั้งสองฝ่ายกำลังเร่งงานของเขาอยู่นั้น จำเป็นที่พวกเราผู้ร่วมต่อสู้พลีชีวิต เลือดเนื้อ และอนาคตของตนเองเพื่อประชาธิปไตยกันมา ต้องถามตัวเองว่า การ “ปรองดอง” เกิดประโยชน์อย่างไรต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของเมืองไทย หรือมีโทษอย่างไรบ้าง เราต้องถามให้ชัดเจนเสียก่อนที่ใครบางคนจะหันกลับมาถามประชาชนผู้รวมพลัง ขึ้นเป็นมวลชนว่า ต้องการจะร่วมในกระบวนการ “ปรองดอง” กับเขาด้วยหรือไม่
เมื่อ มีใครขอให้ลืมเรื่องเก่าและเตรียมก้าวเข้าสู่ห้วงเวลาใหม่ ภาพในห้วงสำนึกและความทรงจำของมวลชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมักจะคล้าย คลึงกัน นั่นคือนึกถึงมวลชนจัดตั้งของฝ่ายตรงข้ามซึ่งหลายคนเรียกว่า “ม็อบมีเส้น” การโค่นทำลายรัฐบาลมวลชนด้วยกลไกตุลาการ วุฒิสภา องค์กรอิสระ องค์กรวิชาชีพที่มีเบื้องหลังเป็นธุรกิจ จนกระทั่งสั่งการให้กองทัพกระทำรัฐประหารยึดอำนาจ
เดิมพันก็สูงถึง ขนาดฆ่าฟันประชาชนกลางถนนหลวงได้ในเวลากลางวันแสกๆ โดยมุ่งจะเด็ดชีพคนบริสุทธิ์เป็นร้อยเป็นพัน แสดงถึงความคิดหวงแหนอำนาจอย่างรุนแรงชนิดแลกกับอะไรก็ได้
นี่คือต้นทุนของมวลชนก่อนที่ใครจะพูดคำว่า “ปรองดอง” ขึ้นมา
พูด ให้เป็นธรรม ก็ต้องยอมรับว่าบางคนที่เกี่ยวข้องกับการเจรจา “ปรองดอง” ก็มีเจตนาที่ดี นั่นคืออยากเห็นบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อย โดยหวังให้ส่งผลตรงไปยังเศรษฐกิจและสังคมที่จะกระเตื้องตาม
แต่ใน เจตนาที่ดีนั้นเอง จะปิดตาข้างหนึ่งหรือสองข้างจนไม่เห็นความจริงข้างต้นนั้นหาได้ไม่ ถ้าทำอย่างนั้นก็จะเกิดการปรองดองที่ไม่สมบูรณ์ กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่กว่าเดิมเสียอีก
การวาดภาพตอนจบของละครการเมืองในระดับโศกนาฏกรรมเที่ยวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครทั้งนั้น ไม่ว่าเทวดาหรือคน
ถ้าอย่างนั้นฝ่ายประชาชนที่รวมตัวเป็นมวลชนประชาธิปไตยแล้วในวันนี้ควรตั้งต้นตรงไหน?
ข้อพิจารณาอันดับแรก อย่าเอาเดิมพันทั้งหมดของฝ่ายประชาชนไปใส่ใน “ปรองดอง”
รูปธรรม คืออย่าลาก “แกนนำ” “แกนตาม” “แกนนอน” และ “แนวร่วม” ของขบวนประชาธิปไตยไปผสมพันธุ์กันอยู่ในหม้อปรองดองเดียวกันหมด เพื่อเคี่ยวไปนานๆ และเคี่ยวพร้อมกันจนเนื้อเปื่อย
ใครอยากจะมอบตัว หรือแสดงเจตนา “ปรองดอง” ให้ทั้งสองฝ่ายประจักษ์ก็ให้ทำไป เพราะอาจเกิดประโยชน์ต่อขบวนการได้หากมีการ “ปรองดอง” กันจริง ผู้ที่พ้น “ตราบาป” ก็จะได้รับหน้าที่หรือมียศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ที่นำมาใช้เกื้อกูลพี่น้องประชาชนต่อมาได้ ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียเลย
ใคร ไม่มั่นใจและต้องการยืนหยัดในการล้อมพื้นที่อำนาจของฝ่ายตรงข้าม แทนที่จะหลุดเข้าไปในพื้นที่อำนาจของ “เขา” ก็ทำงานอยู่นอกพื้นที่นั้นต่อไป มุ่งสร้างองค์กรทำงานที่เข้มแข็งจริงจังเพื่อรองรับสถานการณ์วันที่ “ปรองดอง” มีอันต้องพังพินาศลง ถึงวันนั้นขบวนการประชาชนก็จะไม่สูญเปล่า สภาพการสื่อสารโทรคมนาคมในโลกยุคนี้มีแต่เอื้อเราทั้งสิ้น
อันดับสอง ผู้เจรจา “ปรองดอง” ฝ่ายประชาธิปไตย จะต้องล้วงลึกไปถึงโครงสร้างทางอำนาจของฝ่ายตรงข้ามและนำกลับมาเป็นของ ประชาชนบ้าง ไม่แตะอยู่แค่ผิวเหมือนเครื่องสำอางประทินโฉม
รูปธรรม ของการนี้คือแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทุกมาตรา โดยไม่เว้นหมวดไหนหรือมาตราใด ความในรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องส่งผลไปจนถึงการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเครื่องมือ อื่นๆ เช่น กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา ระเบียบวิธีพิจารณาพิพากษาคดี เป็นต้น
ส่วนการแก้ไขให้เกิดผลจริงๆ นั้นต้องใช้เวลา แง่นี้พอเข้าใจกันได้อยู่ แต่ก็ต้องเปิดประตูไปสู่การแก้ไขเอาไว้ก่อน
กอง ทัพจะต้องลดความสามารถในการฆ่าประชาชนและประหารรัฐ หลักคิดคือทหารเป็นของฝ่ายประชาชน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งคือผู้บังคับบัญชาสูงสุด ไม่ได้เป็นเพียง “จ๊อกกี้” อย่างที่ประธานองคมนตรีไปเสี้ยมสอนไว้
อันดับสุดท้ายผู้ เจรจา “ปรองดอง” ของฝ่ายประชาชนต้องเจรจาโดยตรงกับหัวหน้าใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น การเจรจากับลูกหาบนั้นเสียเวลาและไม่เกิดประโยชน์โภชย์ผลใดๆ เลย
คงไม่ต้องเอ่ยตรงนี้ว่าต้องเจรจากับคนชื่ออะไร.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น