ถึงเวลาที่เราต้องสร้างวัฒนธรรมพลเมือง
เนื่องจากปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งความคลั่งในการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และเป็นปีแห่งการถกเถียงกันอย่างหนักในเรื่องนี้ เราควรเริ่มปี ๒๕๕๕ ด้วยการตั้งเป้าหมายเพื่อสร้าง “วัฒนธรรมพลเมือง” ในประเทศไทย
วัฒนธรรมพลเมืองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งถ้าเราจะมีประชาธิปไตยและสิทธิ เสรีภาพในโลกสมัยใหม่ เพราะวัฒนธรรมพลเมืองตั้งอยู่บนรากฐานความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพ ความโปร่งใส และสิทธิในการตรวจสอบบุคคลสาธารณะ มันตรงข้ามกับ “วัฒนธรรมไทยเป็นทาส” ที่เต็มไปด้วยเผด็จการและการหมอบคลาน
ทั้งๆ ที่นักวิชาการ “เสรีนิยม” และคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ภาคประชาชน” ใน ไทยจำนวนมาก เคยชอบท่องสูตรเรื่องความสำคัญของประชาธิปไตย ความโปร่งใส เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการเลือกผู้แทน และสิทธิในการตรวจสอบการทำงานของผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ เพื่อให้มีการรับผิดชอบ ตามที่เคยชอบพูดกันถึง transparency กับ accountability ใน สมัยร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ แต่พอมาถึงยุครัฐประหาร ๑๙ กันยา และการใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย และโดยเฉพาะการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองของอำมาตย์ ปรากฏว่านักวิชาการเสรีนิยมและคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ภาคประชาชน” เหล่านั้น ก็เพิกเฉยต่อสิ่งที่ตนเองเคยท่องมาในยุคก่อน
ในความเป็นจริง ไม่ว่านายพล นักการเมือง หรืออภิสิทธิ์ชนคนไหนจะหลงตนเองแค่ไหน แต่เขาหรือบุคคลอื่นที่อ้างตัวเป็นใหญ่ ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมได้ เพราะวัฒนธรรมมาจากความยินยอมและการร่วมปฏิบัติของคนจำนวนมาก ซึ่งแปลว่าไม่มีวัฒนธรรมเดียวในสังคมไทย มีแต่หลากหลายวัฒนธรรมที่แข่งกันเพื่อครองใจคน
ปัญหาของ กฏหมายหมิ่นฯ 112 คือมันเป็นกฏหมายที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมพลเมืองโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการบังคับไม่ให้สังคมไทยมีประชาธิปไตย ความเสมอภาค ความโปร่งใส และการตรวจสอบผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ
นอกจากนี้แล้วการปิดปากประชาชนที่เกิดขึ้นจากกฏหมายนี้ เปิดทางให้มีการใช้ความรุนแรงในการล้มประชาธิปไตย หรือในการเข่นฆ่าผู้ที่เรียกร้องประชาธิปไตยภายใต้ข้ออ้างของทหารว่ากำลัง “ปกป้องสถาบันเบื้องสูง"
กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นการเปิดทางไปสู่สองมาตรฐานทางกฏหมายที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้อีกด้วย ลองดูว่าตอนนี้ใครในสังคมไทยติดคุกหรือติดคดีที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตการเมือง ปัจจุบันบ้าง มีแต่คนระดับล่างที่เป็นเสื้อแดง ในขณะที่นายพลและนักการเมืองที่สั่งฆ่าประชาชนลอยนวลหมด แต่มันยิ่งแย่กว่านั้นอีก เพราะไม่ต้องพูดถึงแค่คดีการเมือง เมื่อดูคดีฆาตกรรมส่วนตัวปัจเจก จะเห็นว่า “คนมีเส้น” มักหลีกเลี่ยงคุกได้อย่างสบาย และแม้แต่ในศาลไทย พวกผู้พิพากษาไม่มีจิตสำนึกประชาธิปไตยพอที่จะมองว่าต้องอ่านคำตัดสินคดีให้ ผู้ต้องหาฟัง บางครั้งไม่ลงมาในศาลด้วย แค่ใช้โทรทัศน์วงจรปิด และผู้ต้องหามักจะถูกบังคับให้แต่งชุดนักโทษก่อนตัดสินคดี ซึ่งเป็นการละเมิดหลักว่าทุกคนต้องบริสุทธิ์ก่อนตัดสินคดี และความอยุติธรรมทั้งหมดนี้ปกป้องด้วยกฏหมายหมิ่นศาลแบบ 112 ที่ปิดปากประชาชนไม่ให้ตรวจสอบศาลได้
สรุปแล้ว ถ้าไม่มีวัฒนธรรมพลเมือง ที่มองว่าพลเมืองมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในกระบวนการศาล และมีสิทธิ์ที่จะมีส่วนร่วมเต็มที่ในกระบวนการยุติธรรม จะไม่มีวันมีความยุติธรรมในสังคมไทยเลย
กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายเผด็จการที่พยายามสร้างวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” กฏหมายนี้สวนทางกับวัฒนธรรม “ไทยเป็นพลเมือง” ที่คนไทยจำนวนมากเริ่มชื่นชม
กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปกป้องไม่ให้คน “ด่าในหลวง” คนที่เสนอแบบนี้เป็นคนโกหกสังคม เพราะกฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายที่ปกป้องทหาร และปกป้องชนชั้นปกครองไทยทั้งหมดต่างหาก กฏหมายอื่นที่พอจะปกป้องคนไทยทุกคนจากการถูกด่าหรือกล่าวหาเท็จ คือกฏหมายหมิ่นประมาทธรรมดา
กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เรา “พูดเรื่องในหลวง” ด้วย เพราะเป็นกฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เราพูดคุยถกเถียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ทหารเผด็จการกับสถาบันกษัตริย์ต่างหาก จนคนไทยจำนวนมากในยุคปัจจุบันหลงเชื่อคำโฆษณาอ้อมๆ ของทหาร และนักการเมือง ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ประเทศไทยไม่ได้ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ปกครองด้วยระบบ “รัฐซ้อนรัฐบาล” ที่ทหาร ข้าราชการชั้นสูง นายทุน และนักการเมืองอาวุโส มีอำนาจนอกและเหนือรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนั้นมีการแอบอ้างสร้างความชอบธรรมทั้งปวงจากสถาบันกษัตริย์ พร้อมกับปกป้องระบบรัฐซ้อนรัฐบาลด้วยกฏหมายหมิ่นฯ 112 เพราะทุกอย่างอ้างว่า “ทำไปเพื่อปกป้องสถาบันเบื้องสูง” ดังนั้นถ้าใครแย้งหรือตั้งคำถามกับระบบนี้จะ “ถือว่าผิด 112”
เราจะเห็นได้ว่าการตั้งคำถามกับการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา ว่าทำไมต้องแอบอ้างสถาบันกษัตริย์ ทำไมต้องผูกโบสีเหลืองบนปืนและเครื่องแบบทหาร หรือการตั้งคำถามว่าประมุขในระบบประชาธิปไตยควรปกป้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย หรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่พลเมืองทุกคนควรมีส่วนร่วมในการถาม เพื่อความโปร่งใสและการรับผิดชอบ ล้วนแต่กลายเป็นคำถามที่ถูกอำมาตย์นิยามว่า “หมิ่น” ตามกฏหมายหมิ่นฯ 112
กฏหมายหมิ่นฯ 112 นำไปสู่การอ้างอภิสิทธิ์พิเศษของพวกนายพลในการฆ่าคนที่คิดต่างจากตนเองอีก ด้วย เพราะมีการประโคมข่าวว่าพวกที่โดนยิงเป็นพวก “ล้มเจ้า”
ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับ ประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะค้นพบว่าทหารไม่ได้รับใช้กษัตริย์ แต่รับใช้ตนเองมากกว่า นี่คือสาเหตุที่ทหารอยากปกป้องกฏหมายหมิ่นฯ 112 แบบสุดชีวิต
ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับ ประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะพบว่าบุคคลในพระราชวังไม่ได้มีส่วนในการสั่งฆ่าประชาชน เมื่อปี ๒๕๕๓ แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่คนไทยจำนวนมากในปัจจุบันเข้าใจว่า “เป็นคำสั่งจากวัง” ตรงกันข้ามเราจะพบความจริงว่าผู้สั่งฆ่าตัวจริงคือทหารและนักการเมือง แต่พวกนี้อยากจะใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ
ใครๆ ที่ไม่ตอแหลหรือไม่หลอกตนเองและผู้อื่น เข้าใจมานานแล้วว่าในประเทศประชาธิปไตย พลเมืองมีสิทธิ์ตรวจสอบประมุข เพราะประมุขเป็นผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ นี่คือสาเหตุที่ประเทศต่างๆ ที่มีกษัตริย์ในยุโรปไม่มีการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในทางปฏิบัติมานานแล้ว ในประเทศเหล่านี้พลเมืองมีสิทธิ์แลกเปลี่ยนอย่างเสรีด้วยว่า ประมุขควรเป็นกษัตริย์ที่สืบทอดสายเลือด หรือควรมาจากการเลือกตั้ง และในยุคนี้เราเห็นความเพี้ยนของระบบที่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดสายเลือดใน กรณีเกาหลีเหนือ ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนที่เรานำมาพิจารณาในไทยอีกด้วย
ในเมื่อกฏหมายหมิ่นฯ 112 ขัดกับวัฒนธรรมพลเมือง ขัดกับการสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบในระบบการเมืองสาธารณะ การเสนอให้ลดโทษ หรือการเสนอให้เลขาสำนักพระราชวังเป็นผู้ยินยอมให้มีการฟ้องแต่ฝ่ายเดียว จะเป็นเพียงการปกป้องระบบที่กีดกันเสรีภาพ ความโปร่งใส และการตรวจสอบเท่านั้น และเราคงเดาได้ว่าเลขาสำนักพระราชวังจะเป็นคนของทหารอีกด้วย
ข้อเสนอให้ “ปฏิรูป” กฏหมายหมิ่นฯ 112 ของคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็นเพียงการปกป้องกลุ่มที่เกาะกินกับระบบรัฐซ้อนรัฐบาล มันเป็นการปกป้องวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” และเป็นแค่ปฏิกิริยาต่อกระแสวัฒนธรรมพลเมืองที่ต้องการให้ยกเลิกกฏหมาย หมิ่นฯ 112 และปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน และนักวิชาการ “เสรีนิยม” ที่คล้อยตามการ “ปฏิรูปเทียม” แบบนี้ ก็เพียงแต่คล้อยตามวัฒนธรรมไทยเป็นทาสเท่านั้นเอง
แค่ข้อเสนอที่ไม่แก้ปัญหา 112 ของ คอป. ก็ไม่ได้รับความชื่นชมจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่คนเสื้อแดงเลือกมา เพราะรัฐมนตรีเฉลิม อยู่บำรุง “ลั่น” ว่าจะคัดค้านแบบหัวชนฝา การแก้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และด่าคนที่ต้องการสร้างสิทธิเสรีภาพว่า "ไอ้พวกนี้มันว่างงาน มาทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
เราต้องถือว่าคำพูดของนายเฉลิมเป็นนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะไม่มีการออกมาวิจารณ์นายเฉลิมโดยนายกรัฐมนตรี และในรูปธรรมรัฐบาลนี้ยิ่งคลั่งในการใช้ 112 และกฏหมายคอมพิวเตอร์มากขึ้น
คนที่เคยหลอกตัวเองว่า “ต้องให้เวลากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์” ด้วยข้ออ้างต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับความใหม่ของรัฐบาล หรือปัญหาน้ำท่วม ถ้าพร้อมจะซื่อสัตย์ยอมรับความจริง คงต้องร่วมสรุปกับพวกเราว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำข้อตกลงกับทหารเรียบร้อย แล้ว และจะทำทุกอย่างเพื่อหักหลังวีรชนเสื้อแดง ไม่ว่าจะในเรื่องการไม่ลงโทษนายประยุทธ์ นายอนุพงษ์ นายอภิสิทธิ์ หรือนายสุเทพ ในข้อหาฆ่าประชาชน หรือในเรื่องการทอดทิ้งคนเสื้อแดงที่ติดคุกอยู่ หรือในเรื่องข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ และนอกเหนือจากนั้น สิ่งที่สำคัญพอๆ กันคือ แกนนำ “นปช. แดงทั้งแผ่นดิน” ก็พร้อมจะเผิกเฉยและปล่อยให้รัฐบาลหักหลังเสื้อแดง และปล่อยให้มีการสลายพลังของขบวนการเสื้อแดงจนไม่เหลืออะไร เพื่อให้ชนชั้นปกครองปรองดองกันเองและร่วมหากินบนสันหลังพลเมืองต่อไปใน อนาคต
พวกเราที่อยากเห็นวัฒนธรรมพลเมืองเกิดขึ้นอย่างจริงจังในสังคม จะต้องจับมือกันและเคลื่อนไหว และจะต้องพร้อมที่จะสร้างหน่ออ่อนของขบวนการเสื้อแดงใหม่ เพราะแกนนำที่เคยประกาศว่าเป็น “ไพร่... พร้อมสู้กับอำมาตย์” ดูเหมือนจะหันมาส่งเสริมวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” ไปเสียแล้ว
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
(ที่มา)
http://redthaisocialist.com/2011-01-20-12-41-04/309-2012-01-01-19-18-41.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น