ละครตลกร้ายเรื่องการนำอาชญากรรัฐมาขึ้นศาล
โดยใจ อึ๊งภากรณ์
มี
การ “เอดิด” ตัดลบบทบาทชั่วร้ายของทหารออกไป
ไม่พูดถึงอาชญากรรมการก่อรัฐประหาร
และไม่พูดถึงบทบาทประยุทธ์กับอนุพงษ์ในการเข่นฆ่าเสื้อแดง
แนว
ทางของทักษิณและเพื่อไทยในการปรองดอง จริงๆ แล้วเป็นการยอมจำนนบนซากศพวีรชน
และสังเวยนักโทษการเมือง
เพื่อให้ทักษิณกลับมาและเพื่อให้นักการเมืองพรรคเพื่อไทยดำรงตำแหน่งและกอบ
โกยผลประโยชน์ต่อไป และที่ชัดเจนคือฆาตกรสี่คนที่มือเปื้อนเลือดเสื้อแดง
คือประยุทธ์ อนุพงษ์ อภิสิทธิ์ กับ สุเทพ จะไม่ถูกนำมาขึ้นศาลแต่อย่างใด
ตรงนี้เราดูได้จากคำพูดของทักษิณในบทสัมภาษณ์กับ จอม เพชรประดับ ในวันที่
17 เมษายนปีนี้ที่เขมร ดูได้จากทักษิณโฟนอินในวันที่ 19 พฤษภาคม และดูได้จากร่าง พรบ.ปรองดอง
แต่
ละครตลกร้ายที่กำลังเล่นคู่ขนานกันกับการยอมจำนนนี้
คือการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของวิกฤตหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา คือมีการ
“เอดิด” ตัดลบบทบาทชั่วร้ายของทหารออกไป ไม่พูดถึงอาชญากรรมการก่อรัฐประหาร
และไม่พูดถึงบทบาทประยุทธ์กับอนุพงษ์ในการเข่นฆ่าเสื้อแดง
นิยายใหม่ที่เข้ามาแทนที่ประวัติศาสตร์จริง
คือการเสนอว่าศัตรูหลักของเพื่อไทย เสื้อแดง หรือทักษิณ
คือแค่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น โดยเฉพาะอภิสิทธิ์กับสุเทพ
อันนี้เราก็เห็นได้จากคำสัมภาษณ์ของทักษิณอีก และการที่เพื่อไทย และ นปช.
เลิกวิจารณ์ทหาร
ประกอบกับการที่ยิ่งลักษณ์ไปจับมือกับประยุทธ์และไปกราบเปรม
เนื้อหาอยู่ที่สิ่งที่ไม่พูด
ในละครตลกร้ายอันนี้ อภิสิทธิ์ กลายเป็นของเล่นของ ทักษิณ เพื่อไทย และ
นปช. เพราะประชาธิปัตย์มีอำนาจน้อย ไม่เหมือนทหาร
ในอดีตอภิสิทธิ์เป็นนายกหุ่นเชิดของทหารเท่านั้น จึงนำมาแกล้ง เตะ
และหยอกล้อได้ เหมือนที่เด็กๆ เล่นกัน และคงไม่เจ็บหรอก
คือมีการแกล้งทำเป็นว่าจะมีการสอบสวนบางคดีที่คนตายท่ามกลางการชุมนุม
โดยสร้างภาพว่าอาจเกี่ยวกับอภิสิทธ์ แต่การสอบสวนอันนี้ไม่มีวันออกผล
เพราะทุกฝ่ายของชนชั้นปกครองคุยกันแล้วว่าทุกคนต้องลอยนวล....
ยกเว้นคนก้าวหน้าที่โดน 112
อีกส่วนหนึ่งของละครตลกร้าย คือการที่ทักษิณจัดการให้ทนาย โรเบิร์ต
อัมสเตอร์ดัม มาค้นหาข้อมูลเรื่องการนองเลือดที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์
เพื่อนำ อภิสิทธิ์ มาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ
อันนี้เป็นไพ่ใบสุดท้ายในการสร้างภาพของทักษิณ
เพื่อเบี่ยงเบนความไม่พอใจของเสื้อแดงในการปรองดอง เพราะทนาย โรเบิร์ต
อัมสเตอร์ดัม เป็นคนที่จริงใจในการรื้อข้อมูลทั้งหมด
และจริงใจเดินหน้าเพื่อพยายามนำ อภิสิทธ์มือเปื้อนเลือด มาขึ้นศาล
เราต้องเข้าใจว่าทนายที่เก่งๆ ต้องเชื่อในสิ่งที่ตนเองทำ
ไม่ใช่รับเงินค่าจ้างมาแล้วไม่แคร์ การเป็นทนายเก่งนั้นคือลักษณะของ
โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม แต่เราต้องเข้าใจอีกว่า
ทนายกับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือนักสิทธิมนุษยชนไม่เหมือนกัน
ทนายต้องทำทุกอย่างในกรอบ และกรอบที่จำกัดสิ่งที่ทนาย อัมสเตอร์ดัม ทำได้
คือการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะไม่ยกมือรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศในไทย
ซึ่งแปลว่า ทนาย อัมสเตอร์ดัม จะต้องเล่น อภิสิทธิ์ คนเดียวนอกประเทศ
ในฐานะที่ อภิสิทธิ์ มีสัญชาติอังกฤษกับสัญชาติไทย
(อังกฤษยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ) อันนี้อำนวยความสะดวกในการ “ลืม”
ทหารของทักษิณ กับ เพื่อไทย เป็นอย่างมาก
ทั้งๆ ที่ ทนาย อัมสเตอร์ดัม จะพยายามอย่างถึงที่สุด
ผมเชื่อว่าจะไม่ประสบความสำเร็จกับศาลอาญาระหว่างประเทศ
เขาเองก็เตือนเราไม่ให้หวังอะไรมากไป และเมื่อประสบความล้มเหลวในอนาคต
ทักษิณ เพื่อไทย และ นปช. ก็จะอ้างว่า “เราพยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จ”
ทั้งนี้เพื่อปกปิดการหักหลังวีรชนที่เกิดขึ้นจริง
นอกจากนี้แกนนำ นปช. ก็ออกมาพูด “ภาพใหญ่” เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้เราลืมรายละเอียดว่า นปช. ไม่ยอมรณรงค์ให้แก้หรือยกเลิก 112 เลย และไม่สนับสนุนข้อเสนอของนิติราษฎร์อย่างเป็นรูปธรรมทางการ
มีอีกละครหนึ่ง เป็นละครเล็กนอกระบบข้างถนน
ละครนี้เสนอว่าคนระดับเบื้องบนเป็นคนสั่งทุกอย่าง สั่งรัฐประหาร และสั่งฆ่า
ซึ่งไม่จริง เราเชื่อได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดหูเปิดตาถึงข้อมูลจริงๆ
แต่คนที่เสนอแนวแบบนี้มักพาเราไปในทางเดียวกับเพื่อไทย ทักษิณ และ นปช.
ทั้งๆ ที่อาจคิดต่างกัน เขาพาเราไปหลงเชื่อว่าทหารไม่ได้สั่งการเอง
และหลงเชื่อว่าทหารไม่เคยมีอำนาจเอง แล้วเราก็ต้องยกโทษให้ทหาร
เขาพาเราไปหลงเชื่ออีกว่า “เราทำอะไรไม่ได้”
เพราะเราเผชิญหน้ากับอำนาจอันยิ่งใหญ่
ซึ่งก็เป็นการเสนอให้หยุดสู้เหมือนกัน
ความเชื่อของแนวนี้เป็นความเชื่อที่ทหารใช้หลอกเราด้วย
เพื่อให้อำนาจทหารดูยิ่งใหญ่เพราะมีผู้ใหญ่ถือหาง
แต่อำนาจทหารมาจากการใช้อาวุธ
สรุปแล้วเสื้อแดงต้องพลีชีพ เสื้อแดงต้องติดคุก เสื้อแดงต้องโดน 112
และล้วนแต่กลับบ้านไม่ได้ แต่ทหาร พันธมิตรฯ
และประชาธิปัตย์จะไม่ต้องโดนอะไรเลย และทักษิณจะได้กลับบ้าน
พวกเราจะยอมรับสถานการณ์แบบนี้หรือ?
การสร้างความยุติธรรม หรือเสรีภาพประชาธิปไตย
ต้องสร้างโดยพลเมืองภายในสังคม บทเรียนมีมากมายทั่วโลก
สังคมที่เริ่มสร้างความยุติธรรมหลังเหตุการณ์นองเลือดของเผด็จการ
อย่างเกาหลีใต้ ตุรกี อาเจนทีนา หรืออัฟริกาใต้
อาศัยการเคลื่อนไหวต่อสู้ของมวลชนเป็นหลัก ส่วนในสเปน หรือชิลี การ “รอ”
“ใจเย็น” “ยอมจำนน”
ไม่ได้นำไปสู่การเปิดเผยความจริงและการประนามผู้กระทำความผิด
ในเมื่อชนชั้นปกครองไทย ไม่ว่าจะเป็นซีกทหาร ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย
หรือทักษิณ จงใจไม่กำจัดผลพวงของรัฐประหาร
และจงใจให้คนที่ฆ่าประชาชนลอยนวลอีกครั้ง เป็นครั้งที่สี่
ความหวังอยู่ที่กระแสของคณะนิติราฏร์ แต่เขาทำเองสองสามคนไม่ได้
มวลชนที่รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรมต้องเคลื่อนไหวร่วมกับเขา
แต่
สิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องเข้าใจอย่างชัดเจนคือ ฝ่ายอำมาตย์ ฝ่ายทหาร
ฝ่ายเพื่อไทย ฝ่ายนปช. มีการจัดตั้ง
มีโครงสร้างองค์กรเพื่อรวมพรรคพวกในการทำอะไร หรือในการเคลื่อนไหว
มีการประสานงานกันอย่างหนักแน่น มีการเดินร่วมกัน
ดังนั้นถ้าแดงก้าวหน้าหรือแดงอิสระจะแข่งกับเขาได้
เราก็ต้องจัดตั้งในลักษณะที่ประสานงานกันเป็นองค์กรเดียวเช่นกัน
การอยู่อย่างปัจเจกในกลุ่มเล็กๆ เป็นการเอาใจตัวเอง
อาจสร้างความพึงพอใจกับตนเองได้ แต่เปลี่ยนสังคมไม่ได้
ถ้าเราไม่จัดตั้งเราก็แค่เหมือนน้ำที่สาดใส่ก้อนหินของฝ่ายตรงข้าม
มันไหลลงดินโดยไม่มีผลอะไร
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น