ประจำสถานีรบ! สถานการณ์การต่อสู้ในการเมืองไทย
ประจำสถานีรบ! สถานการณ์การต่อสู้ในการเมืองไทย
โดยสุรชาติ บำรุงสุข
"สังคม
ไทยในปัจจุบันเป็นสังคมที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
เนื่องจากการเป็นฝักเป็นฝ่ายทางการเมือง
ไม่สามารถจะพูดคุยกันแบบผู้ดีบนหลักของวิชาการโดยมีข้อมูลและหลักฐานเพื่อ
ให้เกิดภูมิปัญญา เมื่อต่างฝ่ายต่างมีนโนทัศน์ที่ไม่เหมือนกัน
แม้จะใช้ภาษาเดียวกันคือภาษาไทยในการสื่อสาร ก็ไม่สามารถที่จะตกลงกันได้
และมักจะลงเอยด้วยการถกเถียงโดยใช้อารมณ์อย่างรุนแรง"
ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน
ราชบัณฑิต
29 กันยายน 2554
ท่าน
ทั้งหลายที่ติดตามและสนใจการเมืองไทย คงพอคาดเดาได้ไม่ยากนักว่า
ความพยายามในการก่อให้เกิดการปรองดองขึ้นในการเมืองไทยนั้น
ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่สัมฤทธิผลเท่าใดนัก
ยิ่งเมื่อเกิดเหตุในรัฐสภา
เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายปรองดองก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่า
ความพยายามที่จะทำให้การเมืองไทยกลับสู่ "ภาวะปกติ" หลังจากการรัฐประหาร
2549 และหลังความขัดแย้งใหญ่ในการเมืองไทย
เป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้แต่อย่างใด
หรือบางทีเราอาจจะต้องยอมรับความเป็นจริงอันเจ็บปวดประการสำคัญว่า ความขัดแย้งในการเมืองไทยได้เดินผ่านโอกาสของความปรองดองไปแล้ว
และ
จากปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ "เปิดเกม"
การเมืองในรัฐสภาแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของพรรคฝ่ายค้านนั้น
ดูจะให้คำตอบอย่างชัดเจนว่า
โอกาสของการปรองดองน่าจะจบสิ้นแล้วในสังคมการเมืองไทย!
ถ้าข้อสังเกต
ดังกล่าวข้างต้นเป็นสมมติฐานที่ถูกต้องแล้ว
สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าในการเมืองไทยก็คงจะหนีไม่พ้น "ความขัดแย้งใหญ่"
ในสังคมไทย
ถ้าแนวโน้มเช่นนี้เป็นจริง เราก็คงกล่าวได้ว่า การเมืองไทยกำลังเดินเข้าสู่ "สถานการณ์สู้รบ" นั่นเอง
การ
ต่อสู้ทางการเมืองในรัฐสภา
แม้จะเป็นไปในลักษณะของการสร้างเกมการต่อสู้ในลักษณะของการชิงไหวชิงพริบ
จนถึงมาตรการสำคัญของฝ่ายค้านในการบุก "ยื้อยุดจับตัว"
ประธานรัฐสภาในวันแรก และตามมาในวันที่สองด้วยการ "ปา"
เอกสารใส่ประธานรัฐสภา
แต่อย่างน้อยเราก็คงพอคาดหวังได้ในระดับหนึ่ง
ว่า ถ้าการต่อสู้นี้ยังคงถูกจำกัดอยู่ในกรอบของรัฐสภาแต่เพียงอย่างเดียว
สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงการทะเลาะวิวาทของบรรดา
สมาชิกผู้ทรงเกียรติในรัฐสภา
ซึ่งก็อาจจะไม่แตกต่างกับสิ่งที่เราเคยพบเห็นได้จากภาพข่าวในกรณีของปัญหา
ความขัดแย้งในรัฐสภาไต้หวันหรือเกาหลีใต้ เป็นต้น
และอย่างน้อยเราก็
อาจจะพอเบาใจได้อยู่บ้างว่า ตราบเท่าที่ ส.ส. วิวาทกันในรัฐสภา
ก็ยังดีกว่าพวกเขาลากเกมให้ปัญหาความขัดแย้งนี้ไปสู่การเมืองบนถนน
และอาจจะจบลงด้วยการปิดเกมแบบ "รถถัง"
ดังนั้น
ไม่ว่าการเมืองจะขัดแย้งกันเท่าใดก็ตาม
แต่ตราบเท่าที่เรื่องทั้งหมดถูกตีกรอบไว้ด้วยกระบวนการทางรัฐสภา
แม้จะมีการยื้อยุดหรือขว้างปากันบ้าง
ก็อาจจะต้องยอมรับว่าเรื่องราวทั้งหมดก็ยังอยู่ในรัฐสภา
แม้จะต้องเสียภาพลักษณ์แห่ง "สถาบันอันทรงเกียรติ"
ของบรรดาสมาชิกผู้แทนราษฎรไป
ผู้คนอาจจะรู้สึกแย่กับภาพลบที่พวกเขากระทำกันในรัฐสภา
แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ยังอยู่ในรัฐสภาเท่านั้นเอง
สิ่งที่น่ากังวลใจก็คือ การต่อสู้ของพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาอาจจะไม่ได้มุ่งประสงค์ให้ปัญหาอยู่ในสภาเท่านั้น
หาก
แต่การกระทำที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนการเปิดการรุกทางการเมืองใน "แนวรบรัฐสภา"
ด้วยการใช้วิธีการต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดความชะงักงันของกระบวนการทางรัฐสภา
เพราะ
กลุ่มการเมืองปีกอนุรักษนิยม-จารีตนิยมที่ใช้พรรคฝ่ายค้านเป็นกลไกของการขับ
เคลื่อนในรัฐสภาต่างก็ตระหนักดีว่า
หากปล่อยให้รัฐสภาเดินไปตามครรลองที่ใช้วิธีการลงเสียงแล้ว
พวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ดังจะเห็นชัดเจนถึงคะแนนเสียง
ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านที่แตกต่างกัน จนมองไม่เห็นว่า
กลุ่มอนุรักษนิยมจะชนะการลงเสียงในรัฐสภาได้อย่างไร
ในอีกด้านหนึ่งก็เห็นได้ชัดเจนเช่นกันว่า แม้การกระทำดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายทางการเมืองแก่พรรคฝ่ายค้านเอง
แต่
พวกเขาก็ดูจะประเมินแล้วว่า
ความเสียหายดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ด้วยการสร้างวาทกรรมเพื่อสื่อสารออกไปสู่
กลุ่มผู้สนับสนุนและกลุ่มเป็นกลาง
(อ่านต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น