“ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี”?
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
จาก “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2555
การต่อสู้ขับเคี่ยวกันระหว่างพลังเผด็จการกับพลังประชาธิปไตยในหลายปีมา
นี้ แนวรบที่เข้มข้นดุเดือดไม่น้อยไปกว่าการต่อสู้บนท้องถนนและในสภาก็คือ
การต่อสู้ทางความคิดและวาทกรรม ระหว่างอุดมการณ์ “ประชาธิปไตยเสรีนิยม”
กับความคิดเผด็จการครอบงำในรูปลัทธิราชาชาตินิยมและ “ประชาธิปไตยแบบไทย”
วาทกรรมทหนึ่งที่สร้างความสับสนแม้แต่ในหมู่นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย
ด้วยกันเองก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี” (Illiberal
Democracy) ใช้เป็นครั้งแรกโดยนายฟารีด ซาคาเรีย (Fareed Zakaria)
คอลัมนิสต์ชาวอินเดียสัญชาติอเมริกัน
และใช้กันในหมู่นักวิชาการและคอลัมนิสต์ตะวันตกจำนวนหนึ่ง
แนวคิด “ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี” ชี้ว่า
ระบอบการเมืองที่มีการเลือกตั้งและ “เป็นประชาธิปไตย” นั้น อาจ
“ไม่เป็นเสรีนิยม” คือไม่ให้เสรีภาพขั้นพื้นฐานแก่พลเมืองของตน เช่น
รัสเซียและประเทศอดีตสังคมนิยมในยุโรปตะวันออก บางประเทศในเอเชีย เช่น
สิงคโปร์ มาเลเซีย ซึ่งมีพรรคการเมืองหลายพรรค มีการเลือกตั้ง
แต่รัฐบาลอยู่ในมือของกลุ่มชนชั้นนำที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนหลาย
ประการ เช่น เสรีภาพในการวิจารณ์รัฐบาลและผู้นำ
เสรีภาพในการรวมกลุ่มตั้งสมาคม รัฐควบคุมสื่อมวลชนและหนังสือพิมพ์
ฝ่ายบริหารมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ
ใช้วิธีการทั้งในและนอกกฎหมายกับผู้ที่เห็นต่างจากรัฐบาล เป็นต้น
ประเทศเหล่านี้จึง “เป็นประชาธิปไตย แต่ไม่เป็นเสรีนิยม”
ในทางตรงข้าม ก็มี “ระบอบอัตตาธิปไตยที่เป็นเสรีนิยม” (Liberal
Autocracy) คือ ไม่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลยังให้
“เสรีภาพขั้นพื้นฐาน” แก่พลเมืองของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เสรีภาพทางเศรษฐกิจ ระบบตลาดทุนนิยมและวิสาหกิจเอกชน ตัวอย่างเช่น
ประเทศในยุโรปก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
(นายซาคาเรียอ้างถึงออสโตร-ฮังการี) และ ฮ่องกง ในปัจจุบัน
ประเทศเหล่านี้จึง “ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นเสรีนิยม”
ก่อนรัฐประหาร 2549
นักวิชาการและคอลัมนิสต์ไทยจำนวนหนึ่งก็นำเอาแนวคิดดังกล่าวมาโจมตีระบอบรัฐ
ธรรมนูญ 2540 และรัฐบาลพรรคไทยรักไทยว่า “เป็นประชาธิปไตยที่ไม่เสรี”
คือชนะเลือกตั้งมาอย่างท่วมท้น แต่ใช้อำนาจแบบเผด็จการ
ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน “ฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพย์ติด”
“ปราบปรามประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างนองเลือด” ควบคุมแทรกแซงสื่อ
ทุจริตคอรัปชั่น แทรกแซงวุฒิสภาและองค์กรอิสระ เป็นต้น
หลังรัฐประหาร คำว่า “ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี”
ถูกนำมาใช้โจมตีขบวนประชาธิปไตยที่ต่อต้านรัฐประหารและสนับสนุนพรรคการเมือง
ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า เป็นพวก “ลัทธิเลือกตั้งธิปไตย”
ยึดเอาการเลือกตั้งเป็นสรณะหนึ่งเดียวที่รองรับความชอบธรรมทางการเมืองทั้ง
ปวง แต่มีเนื้อในที่ “ไม่เป็นเสรีนิยม” เพราะสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ
ที่เป็นเผด็จอำนาจ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
แนวคิด “ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี”
ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการตะวันตกจำนวนหนึ่ง ประเด็นใจกลางคือ
การลดรูป “ลัทธิเสรีนิยม”
จากหลักการเสรีภาพสากลที่ครอบคลุมทั้งระบอบสถาบันการเมืองประชาธิปไตยแบบตัว
แทนและหลักสิทธิ์เสรีภาพของประชาชน
ลงมาเหลือแค่การให้มีสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยแยกจากระบอบสถาบันการเมือง
หากมีการเลือกตั้ง ก็เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง
ก็เรียกว่า “อัตตาธิปไตย”
ผลก็คือความสับสนปนเปทางตรรกะที่อาจมีระบอบการเมืองที่เป็นอำนาจนิยม
แต่ให้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน (เรียกว่า
“ระบอบอัตตาธิปไตยที่เป็นเสรีนิยม”) และก็มีระบอบการเมืองที่มีการเลือกตั้ง
แต่ละเมิดสิทธิ์เสรีภาพของประชาชน (เรียกว่า “ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี”)
แนวคิดนี้ ถึงที่สุด มีพื้นฐานความเชื่อว่า
ประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเป็น “ฝูงชนที่ไร้สติ สายตาสั้น
หวังประโยชน์และความมั่นคงเฉพาะหน้า”
ถูกชักจูงหรือครอบงำโดยนักการเมืองกลุ่มชนชั้นนำให้ลงคะแนนเลือกตั้งเข้ามา
เป็นรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แนวคิด
“ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี” อาจนำไปสู่สองทางเลือกคือ
ในปริบทที่ระบอบการเมืองยังมีการเลือกตั้ง
ก็ให้ส่งเสริมหลักการแห่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างจริงจัง เพื่อให้
“ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี” ก้าวไปสู่การเป็น “ประชาธิปไตยเสรีนิยม”
เต็มรูปแบบ
แต่อีกทางเลือกหนึ่ง
กลับนำไปสู่การปฏิเสธหรือการลดทอนความสำคัญของการเมืองแบบเลือกตั้ง
โดยอ้างว่า การเลือกตั้งไม่ใช่สารัตถะของระบอบการเมือง
การประเมินระบอบการเมืองหนึ่ง ๆ ไม่ใช่อยู่ที่ว่า มีการเลือกตั้งหรือไม่
แต่ให้ดูที่ “เสรีภาพขั้นพื้นฐาน” ของประชาชนเป็นสำคัญ ผู้ที่สมาทานแนวคิด
“ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี” มักจะเลือกหนทางที่สองคือ
หันไปสนับสนุนการใช้กลไกนอกระบบการเมืองมาควบคุมอำนาจที่จากการเลือกตั้ง
เชิดชู “ลัทธิชนชั้นนำ” ที่ปลอดพ้นจาก
“ความชั่วร้ายของการเมืองแบบเลือกตั้งที่สายตาสั้นและเต็มไปด้วยผลประโยชน์”
ดังจะเห็นได้จากที่นายซาคาเรียเองเสนอให้ “ลดความเป็นประชาธิปไตยลง”
ด้วยการให้อำนาจแก่ผู้กระทำการ “ที่ไม่ถูกกดดันจากประชาธิปไตย” เช่น
องค์การการค้าโลก ธนาคารกลาง ศาลฎีกา องค์กรพัฒนาเอกชน เป็นต้น
จึงไม่น่าแปลกใจที่แนวคิด “ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี” จึงมีเสน่ห์หอมหวล
ดึงดูดนักวิชาการ คอลัมนิสต์
และองค์กรพัฒนาเอกชนไทยที่แต่ไหนแต่ไรมาก็เกลียดชังนักการเมืองและระบบการ
เมืองแบบเลือกตั้ง หยิบยกขึ้นมาเป็นอาวุธทางวาทกรรมทิ่มแทงฝ่ายประชาธิปไตย
ปฏิเสธลักษณะก้าวหน้าและเป็น “เสรีนิยม” ของขบวนประชาธิปไตย
ตรรกะของคนพวกนี้เข้าขั้น “เลอะเทอะ” เมื่อประกาศว่า
การปกครองของพวกจารีตนิยม (รวมถึงอันธพาลการเมืองเช่น
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) นั้น “เป็นเสรีนิยม
คือให้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน แต่ไม่เป็นประชาธิปไตย”
ในขณะที่ฝ่ายประชาชน “เป็นประชาธิปไตย แต่ไม่เป็นเสรีนิยม
เพราะไปสนับสนุนนักการเมืองที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน”
ลัทธิเสรีนิยมเป็นแนวคิดสากลที่ครอบคลุมทั้งระบอบการเมืองแบบเลือกตั้ง
และหลักแห่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน
สองประการนี้เป็นสิ่งเดียวกันและแยกกันไม่ออก
ประเทศที่มีการเมืองแบบเลือกตั้ง มีหลายพรรคการเมือง แต่ไม่มี
“หลักสิทธิเสรีภาพ” ต่อพลเมืองของตน ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย
แต่เป็นระบอบอำนาจนิยมแฝงเร้นชนิดหนึ่ง ที่ใช้เปลือกนอกของ
“การเมืองแบบเลือกตั้ง” มาสวมคลุมร่างหมาป่าของตน ในทางตรงข้าม
ประเทศที่มีระบอบการเมืองผูกขาดโดยกลุ่มหรือครอบครัวชนชั้นนำ แต่อ้างว่า
ให้ “สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน” ก็ไม่ใช่เสรีนิยม เพราะถึงอย่างไร
“สิทธิเสรีภาพของประชาชน” ก็ยังถูกจำกัดด้วยข้อห้ามที่จะวิพากษ์วิจารณ์
ปฏิเสธ หรือคัดค้านอำนาจการปกครองของชนชั้นนำนั้นอยู่ดี
ประเทศหนึ่งมีเพียงสองทางเลือกคือ เป็น “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” หรือเป็น
“ระบอบอำนาจนิยม (ทั้งแฝงเร้นและเปิดเผย) ประเทศไทยนับตั้งแต่รัฐประหาร
2500 เป็นต้นมา อยู่ในระบอบอำนาจนิยมของพวกจารีตนิยม
ที่บางช่วงสวมเสื้อคลุม “การเมืองแบบเลือกตั้ง”
ที่ให้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและทางเศรษฐกิจอย่างจำกัดแก่ประชาชน
แต่ในความเป็นจริง เต็มไปด้วยการกดขี่ทางชนชั้น
การผูกขาดเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจของพวกจารีตนิยมและทุนเก่า
การครอบงำทางความคิดอุดมการณ์อย่างเบ็ดเสร็จ
และการปราบปรามผู้ที่เห็นต่างอย่างไร้เมตตา (ตัวอย่าง ป.อาญา ม.112
และการฆ่าหมู่ประชาชนถึงสี่ครั้งในรอบ 30 ปี) ส่วนสมุนของระบอบนี้ เช่น
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เป็นพวกอันธพาลฟัสซิสต์คลั่งชาติ
ระบอบการปกครองและกลุ่มอันธพาลที่ว่านี้
ไม่มีอะไรที่เป็นเสรีนิยมเลยแม้แต่น้อย
สำหรับฝ่ายประชาธิปไตยแล้ว
เครื่องหมายแห่งความเป็นเสรีนิยมอย่างแท้จริงของพวกเขาคือ การปฏิเสธ
“ลัทธิเหนือโลก” และ “ลัทธิฝุ่นใต้ตีน” ทุกรูปแบบ ยืนยันว่า
คนเรานั้นเกิดมาเพียบพร้อมไปด้วยสิทธิเสรีภาพ มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากัน
ทุกคนคือ “เสรีชน”
การปกครองที่ชอบธรรมจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนเสียงส่วนใหญ่
ความขัดแย้งและความเห็นต่างทางการเมืองต้องแก้ไขอย่างสันติด้วยการเลือกตั้ง
เท่านั้น ขบวนประชาธิปไตยของไทยปัจจุบันนี้แหละคือ
“ขบวนประชาธิปไตยเสรีนิยม” อย่างแท้จริง
http://prachatai.com/journal/2012/08/41881
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น