หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

8 ปี 'Munir', ความตายและความท้าทายของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในอาเซียน


8 ปี 'Munir', ความตายและความท้าทายของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในอาเซียน

 

 

"You chose to be Human Rights Defender by your choice. When you chose it, be it. It's your country and your duty to defend. Also be sure that you will be attacked. There's fear and risk to be HRDs. People die every day but those die during their struggle will be remembered. If you couldn't confront fear, then leave."
Maina Kiai,
UNSR on the rights to freedom of peaceful assembly and of association 
[1]

“คุณเลือกที่จะเป็นนักปกป้อง สิทธิมนุษยชน เพราะคุณตัดสินใจที่จะเป็น เมื่อคุณเลือกแล้ว มันคือประเทศของคุณ, คือหน้าที่ของคุณ แน่นอนว่าคุณจะถูกข่มขู่ คุกคาม หรือแม้กระทั่งถูกทำร้าย การเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนนั้นมีทั้งความเสี่ยงและความหวาดกลัว มีคนเสียชีวิตทุกวันจากการยืนหยัดปกป้องสิทธิมนุษยชน, แต่การตายของเขาหรือเธอระหว่างการต่อสู้จะถูกจดจำ ถ้าคุณไม่สามารถเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวเหล่านั้น, อย่าเลือกเส้นทางนี้

คำพูดข้างบนนั้นเป็นของ Maina Kiai ผู้ตรวจการพิเศษสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบและเสรีภาพในการ สมาคม, กล่าวไว้ในงานประชุมนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเอเชียครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 3-5 กันยายน 2555 ที่กรุงเทพฯ หากพูดกันในเชิงหลักการ, ไม่ควรมีใครต้องเสียชีวิตหรือแม้กระทั่งสูญเสียอิสรภาพจากการปกป้องสิทธิ มนุษยชน แต่ในความเป็นจริง, นักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนแล้วคนเล่าถูกข่มขู่, คุกคาม, ทำร้ายจนบางครั้งถึงแก่ชีวิต เพียงเพราะเขาหรือเธอเหล่านั้นเชื่อว่า ทุกคนมีสิทธิในความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน

7 กันยายน 2012 เป็นวันครบรอบ 8 ปีแห่งการจากไปของ Munir Said Thalib นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมต่อต้านการทุจริตที่โดดเด่นที่สุดคน หนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูเนียร์เป็นผู้ก่อตั้ง Kontras องค์กรที่มีพันธกิจส่งเสริมและปกป้องผู้ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนใน อินโดนีเซีย แปดปีที่แล้ว, มูเนียร์ถูกวางยาพิษจนถึงแก่ความตายบนเครื่องบินของสายการบิน Garuda ซึ่งเป็นสายการบินของรัฐบาลอินโดนีเซีย ขณะกำลังเดินทางไปประเทศเนเธอร์แลนด์เพื่อศึกษาต่อในสาขากฎหมายระหว่าง ประเทศและสิทธิมนุษยชนที่มหาวิทยาลัย Utrecht ผลการชันสูตรศพบ่งชี้ว่ามูเนียร์น่าจะถูกวางยาด้วยสารหนูขณะเปลี่ยนเครื่อง ที่สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ เพราะมูเนียร์เปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองทัพอินโดนีเซียในติมอร์ ตะวันออก, อาเจะห์ และปาปัวตะวันตก รวมถึงการลักพาตัวนักกิจกรรม 13 คนในช่วงปลายทศวรรษที่ 90

หลังการเสียชีวิตของมูเนียร์, Polycarpus  Priyanto นักบินของสายการบินการูดาที่ไม่ได้มีตารางการบินในวันที่ 7 กันยายน 2004 และใช้เอกสารปลอมในการขึ้นเครื่อง ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใส่สารหนูลงในน้ำส้มของมูเนียร์ระหว่างรอเปลี่ยน เครื่องที่สิงคโปร์ ในปี 2008 ศาลฎีกาตัดสินจำคุก Priyanto 20 ปีในข้อหาฆาตกรรม รวมถึงอดีตสองผู้บริหารของสายการบินการูดา Indra Setiawan และ Rohainil Aini ที่ถูกลงโทษจำคุกคนละหนึ่งปีในข้อหาช่วยเหลือและสนับสนุนการฆาตกรรมมูเนียร์ แต่ภรรยาม่ายและกลุ่มนักรณรงค์เชื่อว่า นายทหารยศพลตรี Muchdi Purwopranjono อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองอินโดนีเซีย (Indonesia’s Intelligence Agency) ในเวลานั้นเป็นคนบงการสังหารนักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้ท้าทายอำนาจรัฐอย่างมู เนียร์ เพราะมีหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์ระหว่าง Priyanto และ Purwoprajonon ก่อนการเสียชีวิตของมูเนียร์ [2] ใน ปี 2009 มีความพยายามที่จะนำตัว Muchdi เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่มีเหตุผิดปกติหลายประการเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการสืบพยาน เช่น พยานไม่มาปรากฏตัวหรือพยานขอถอนคำให้การในศาล ทำให้สุดท้ายศาลสั่งยกฟ้องในคดีของพลตรี Muchdi Purwopranjono [3]


(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42545

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น