หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตอบข้อโต้แย้งประกาศคณะราษฎร ว่าด้วยการกีดกันการศึกษาของราษฎรในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ตอบข้อโต้แย้งประกาศคณะราษฎร ว่าด้วยการกีดกันการศึกษาของราษฎรในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์


 

 

 

 

 

 


 

โดย พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล

 

"ประกาศคณะราษฎร" ในตอนที่กล่าวว่า "มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กินว่า ราษฎรรู้เท่าไม่ถึงเจ้านั้นไม่ใช่เพราะโง่ เป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่เพราะเกรงว่า ราษฎรได้มีการศึกษาก็จะรู้ความชั่วร้ายที่ทำไว้และคงจะไม่ยอมให้ทำนาบนหลัง คน"

เรามักจะพบ "ข้อโต้แย้ง" ข้อความในประกาศคณะราษฎรในท่อนความดังกล่าวทำนองว่า "ถ้าเจ้ากีดกันสามัญชนในการเข้าถึงการศึกษาแล้ว จะมีคนจบนอก อย่างปรีดี พนมยงค์ พจน์ พหลโยธิน ฯลฯ ได้อย่างไร?"

ในชั้นต้นเราอาจพิเคราะห์ได้ว่า ผู้เป็นเสี้ยนหนามทางความคิดความรับรู้ เช่น บรรดากบฎผู้มีบุญในสมัย ร.๕ (กบฎผู้มีบุญ คือ ผู้ที่มีชาวบ้านยกย่องนับถือตามท้องถิ่นต่างๆ จนรัฐบาลกษัตริย์เกรงว่าจะกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพของกษัตริย์ จึงต้องปราบปราม เช่น ครูบาศรีวิชัย เป็นต้น) ทั้งปรากฏในข้อโจมตีของรัชกาลที่ ๕ ว่า ประชาชนเป็นพวกไม่รู้จักคิด ("แต่ก่อนมาพระบรมราโชบายอันใดที่จะทำไปไม่ใคร่จะได้แสดงให้ราษฎรทราบเพราะ เหตุว่าถึงทราบก็ปราศจากความคิด หรือกลับคิดเห็นการให้ผิดไปโดยมิได้แกล้ง") ฉะนั้น เพื่อ "ผนึกความรู้เข้าสู่ส่วนกลาง" จึงต้องให้การศึกษาแก่คนพวกนี้


ถ้าเราสำรวจพระราชดำรัส และแบบเรียนในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะพบข้อน่าสนใจดังนี้


๑.รัฐบาลกษัตริย์ชักจูงคนให้มาสนใจ "แบบเรียนที่รัฐกำหนดเนื้อหา (อุดมการณ์แห่งสยาม)" ด้วยแรงจูงใจบางประการ (คือ ถ้าไม่เรียนก็จะไม่ได้ "รับราชการ") :
"นักเรียนทั้งปวง...เราจะขอกล่าวซ้ำอีกว่าต่อไปภายหน้า คนที่ไม่รู้หนังสือแล้วจะไม่ได้รับราชการเป็นแน่แท้" (พระราชดำรัสพระราชทานรางวัลแก่นักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบ พ.ศ.๒๔๒๙)


๒.เมื่อมีกระทรวงธรรมการแล้วก็ทำ "แบบเรียน" ปลูกฝังอุดมการณ์จงรักภักดีต่อกษัตริย์และชาติผ่าน "การศึกษา" :
"อย่าลืมว่าเราเป็นคนรักชาติของเราและรักพระเจ้าอยู่หัวของเรามากกว่าตัวของเราเอง" (แบบเรียนธรรมจรรยา เล่ม ๒, ๒๔๖๖)


๓.แม้ประชาชนจะมีการศึกษาแต่ความเจริญทั้งปวงต้องขึ้นต่อการนำของ กษัตริย์ (ต้องรู้จักสำเหนียกตน "ข้าเจ้า") เพื่อความเป็นอิศรภาพจากต่างชาติ ดำรงความเป็นเอกราช (ราชา+คนเดียว) :
"ท่านทั้งหลายผู้เป็นประชาชนของเรา บัดนี้ควรที่เราทั้งหลายจะปณิธานอันดีและรักษาไว้ด้วย เราตั้งใจอธิษฐานว่าเราจะกระทำการจนเต็มกำลังอย่างดีที่สุดที่จะให้กรุงสยาม เป็นประเทศอันหนึ่งซึ่งมีอิศรภาพและความเจริญ และส่วนท่านทั้งหลายทั้งปวงนั้น จะเป็นผู้มีความตรงและความจริงต่อพระเจ้าแผ่นดินของตน และช่วยกันกระทำการทุกสิ่งซึ่งพระเจ้าแผ่นดินจะทรงทำให้เป็นการดีแก่ท่าน ทั้งหลายด้วย"


จะเห็นได้ว่า การให้ "การศึกษา" นั้นเป็นทั้งการเข้าครอบงำสติปัญญา และ (ภายใต้การครอบงำนั้น - ความรู้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มีพลังและบงการความคิดของคนได้) ให้ประชาชนที่อยู่ภายใต้การครอบงำนั้น "เชื่อฟังกษัตริย์-รับใช้เจ้า" เช่นนี้จะกล่าวว่า พวกเจ้าให้ประชาชนได้เรียนอย่างเต็มที่ ก็คงไม่ได้ เพราะการเรียนนั้นต้องอยู่บนฐานที่ว่า เรียนมาเพื่อรับใช้พวกเจ้า และทำตามคำสั่งของกษัตริย์เท่านั้น (กษัตริย์เป็นผู้นำชาติ และชาติจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อถูกนำโดยกษัตริย์) เขาปลูกฝังสำนึกกันแบบนี้ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงพิจารณาได้ว่า ประกาศคณะราษฎร กล่าวไม่ผิดแต่อย่างใด.

(ที่มา)
http://blogazine.in.th/blogs/phuttipong/post/3725

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น