ความเหลื่อมล้ำกับความไร้เสถียรภาพ
โดย อ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร
ขณะนี้นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกกำลัง ให้ความสนใจกับปรากฏการณ์ความเหลื่อมล้ำ (Inequality) ที่พุ่งสูงขึ้น จนกลายเป็นปัญหาสำคัญของทุกประเทศ และของโลก
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าว เป็นผลพวงของขบวนการโลกาภิวัตน์ปัจจุบัน ซึ่งส่งเสริมการดำเนินนโยบายตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ที่เชื่อว่า ความเหลื่อมล้ำทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต และส่งเสริมชุดนโยบายที่ช่วยให้ภาวะเงินต่อเงิน หรือการเก็งกำไรเป็นไปได้โดยสะดวก โดยยกเลิกกฎเกณฑ์กำกับการไหลเวียนของเงินทุนโลก ลดภาระภาษีเงินได้เกิดจากการเก็งกำไร ขณะที่มนุษย์กินเงินเดือนต้องเสียภาษีรายได้ในอัตราสูงกว่า (ที่สหรัฐ เศรษฐี วอเรน บัฟเฟต บอกว่าเขาเสียภาษีเงินได้ร้อยละ 14 แต่พนักงานบริษัทของเขาเสียร้อยละ 36 ที่บ้านเราไม่มีภาษีกำไรหุ้น แต่ประเทศอื่นมี) และยังต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ ในการทำมาหาเลี้ยงชีพ เช่น ไม่อาจเคลื่อนย้ายไปทำงานในประเทศต่างๆ ได้อย่างเสรี (ขณะที่เงินทุนถูกโยกย้ายไปลงทุนที่ไหนก็ทำได้อย่างเสรีกว่ามากๆ) และต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ ในการรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงาน เพื่อต่อรองเพิ่มค่าจ้าง
ในระดับประเทศ ความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้ง ทางการเมือง ความไม่พึงพอใจรัฐบาลในหลายประเทศ รวมทั้งที่ตะวันออกกลางและที่เมืองไทยเมื่อเร็วๆ นี้
ณ ระดับระหว่างประเทศ ศาสตราจารย์ สติก กลิทซ์ นักเศรษฐศาสตร์ได้รับรางวัลโนเบล ได้ชี้ให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำเป็นปัจจัยส่งผลให้เศรษฐกิจโลกไร้เสถียรภาพ เขาอธิบายว่าคนรายได้น้อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของโลกมักใช้รายได้เกือบทั้งหมด ไปกับการซื้อหาอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวัน จนไม่มีเงินเหลือเก็บ
แต่คนรวยที่เป็นส่วนน้อย ใช้เงินมากเท่าไรก็ยังมีเงินเหลือเก็บเป็นเงินออมจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อมีการกระจายรายได้เข้าสู่กระเป๋าคนรวยมากขึ้น ขณะที่ส่วนแบ่งของคนรายได้น้อยลดลง การใช้จ่ายโดยรวมของโลกก็จะต้องลดลง ขณะเดียวกันเงินออมในบรรดาคนรวยของโลกกลับพอกพูนขึ้น คนเหล่านี้ก็หาลู่ทางลงทุนเพื่อให้เงินต่อเงินไปอีก โดยการเคลื่อนย้ายเงินไปลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในกิจการเก็งกำไรต่างๆ ในตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดซื้อขายล่วงหน้า อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ นำไปสู่ระลอกของวัฏจักรเศรษฐกิจเฟื่องฟู ที่มีภาคการเงินเป็นศูนย์กลาง ตามด้วยเศรษฐกิจถดถอย ซ้ำแล้วซ้ำอีก เศรษฐกิจเฟื่องฟู เกิดจากการมีเงินลงทุนในกิจการเก็งกำไรอย่างมหาศาล จนเกินกว่าเศรษฐกิจจะรับได้ ขณะเดียวกันภาคเศรษฐกิจจริงกลับถดถอยเพราะมีการใช้จ่ายน้อยลง เมื่อเป็นดังนั้นอัตรากำไรก็จะลดลง ตามด้วยการถอนเงินลงทุน และเศรษฐกิจวิกฤต ดังที่เราได้เห็นจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ละตินอเมริกา วิกฤตเศรษฐกิจโลก 2551 วิกฤตเศรษฐกิจที่กรีซ วิกฤตเงินยูโร ฯลฯ
ศาสตราจารย์ สติกกลิทซ์ ยังได้พูดถึงความโยงใยระหว่างความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจกับความขัดแย้งทาง การเมืองว่า ความเหลื่อมล้ำที่สูงมากๆ จะทำให้คนที่อยู่ในฐานะย่ำแย่ ไม่อาจรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของ "สังคม" หรือ "ชาติ"ได้อย่างถนัดใจ และถ้าคนจำนวนมากรู้สึกรู้สาเช่นนี้ขึ้นพร้อมๆ กัน ก็อาจจะรวมตัวกันออกไปประท้วงได้ง่ายขึ้น
นัย ของการวิเคราะห์ดังกล่าว ค่อนข้างจะชัดเจน การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนอกจากจะลดความขัดแย้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศ ยังจำเป็นเพราะช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจด้วย
(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355291988&grpid=&catid=12&subcatid=1200
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น