หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประชามติหรือคือทางออก

ประชามติหรือคือทางออก
 

โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
โลกวันนี้วันสุข ฉบับ ๓๙๑ วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕

 
แม้ ว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.๒๕๕๐ ที่เป็นที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้นั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา และมีผู้ที่ต่อต้านไม่ยอมรับจำนวนมาก โดยเฉพาะในข้อโจมตีว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่า เมื่อใดก็ตาม ที่ฝ่ายพลังประชาธิปไตยจะพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็กลายเป็นเรื่องยากทุกครั้ง

ความไม่เป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่ถูกโจมตีมีหลายประเด็น ตั้งแต่เรื่อง การขยายอำนาจตุลาการมากเกินไป จนครอบงำองค์กรอิสระทั้งหมด การให้สิทธิตุลาการในการยุบพรรคการเมืองและลงโทษกรรมการพรรคการเมืองที่ไม่ ได้ทำความผิด การกำหนดให้มีวุฒิสมาชิกลากตั้งครึ่งสภา ที่มีอำนาจเท่าเทียมวุฒิสมาชิกเลือกตั้ง การมีบทเฉพาะกาลต่ออายุตุลาการ และการมีมาตรา ๓๐๙ รับรองความชอบธรรมของคณะรัฐประหารตลอดกาล แต่กลุ่มพลังที่สนับสนุนรัฐธรรมนูญ กลับเห็นว่า มาตราเหล่านี้เป็นความถูกต้อง จึงคัดค้านการแก้ไขเสมอ

แม้ กระทั่งครั้งล่าสุด ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ เพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.)เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง ฉบับ และรัฐสภาได้พิจารณาผ่านวาระที่สองมาแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ที่ผ่านมา เหลือเพียงการผ่านวาระที่สาม แต่ในที่สุด การลงมติต้องค้างเติ่ง เพราะในวันที่ ๑ มิถุนายน ศาลรัฐธรรมนูญก็ใช้อำนาจสั่งระงับการลงมติวาระที่ ๓ โดยอ้างว่า ศาลได้รับคำร้องที่ว่า การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา อาจเป็น”การกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ” ตามมาตรา ๖๘ แม้ว่า ต่อมา ศาลจะมีวินิจฉัยว่า การพิจารณาของรัฐสภา ไม่เป็นไปตามข้อหานั้น แต่ศาลก็แนะนำให้มีการลงประชามติเสียก่อน พรรคร่วมรัฐบาลจึงถอยและยังไม่ได้มีการผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญในวาระที่ ๓


ใน กรณีนี้ แม้ว่านักวิชาการด้านกฏหมายหลายคน ก็ได้ชี้แจงกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเกินเลย และแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติ พรรคร่วมรัฐบาลควรที่จะเดินหน้าผ่านวาระที่ ๓ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็ชะลอเวลา โดยการตั้งคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ที่มี โภคิน พลกุล เป็นประธาน และในที่สุด พอถึงเดือนธันวาคมนี้ ก็เป็นที่ชัดเจนว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะแก้ปัญหาด้วยการชะลอเวลาต่อไป โดยการเสนอให้มีการทำประชามติ ตามมาตรา ๑๖๕ ที่ระบุว่า “กรณีใดที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่า กิจการในเรื่องใด อาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติ หรือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี อาจปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีการออกเสียงประชามติได้” เหตุผลที่พรรคเพื่อไทยอ้างในการเสนอทำประชามติก็คือ เพื่อให้เป็นการดำเนินตามแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญนำเสนอ และเพื่อไม่ให้ปัญหานี้นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในสังคมไทยอีกต่อไป

จน ถึงขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการจัดประเด็นว่า คณะรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ จะผลักดันให้มีการลงประชามติในประเด็นลักษณะใด ซึ่งคงจะต้องมีการจัดทำรายละเอียดต่อมา
แต่ ไม่ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคร่วมรัฐบาล จะเสนอให้ลงประชามติในลักษณะใด กลุ่มฝ่ายต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญก็ยังคัดค้านด้วยข้อหาเดิมเสมอ คือ การกล่าวหาว่าการแก้รัฐธรรมนูญทั้งหมดเป็นไปเพื่อฟอกผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ทำจดหมายเปิดผนึกระบุว่าการเร่งแก้ไขธรรมนูญของรัฐบาลเป็นการทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงเสนอให้ประชาชนล้มประชามติ ส่วนนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญคงขึ้นอยู่กับรัฐบาล แต่ต้องไม่แก้ในส่วนของสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือต้องไม่แก้ในส่วนที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพ้นผิด มิฉะนั้น ฝ่ายพันธมิตรก็จะทำการเคลื่อนไหว
ได้ มีการกล่าวหาล่วงหน้าว่า คณะร่างรัฐธรรมนูญที่ยังไม่ได้มีการตั้งขึ้นมาต้องมีธงว่า จะต้องแก้มาตรา ๓๐๙ เพื่อยกเลิกผลพวงที่เกิดจากการดำเนินการของ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ซึ่งจะส่งผลให้คดีความที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดสิ้นไป มีการหยิบเอาเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวมาทำการรณรงค์ โดยไม่พูดถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญในข้ออื่นเลย ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า กลุ่มที่ต่อต้านทักษิณ กลับไม่สนับสนุนของเสนอของนิติราษฎร์ ที่จะให้มีการล้มล้างผลพวงรัฐประหาร โดยนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาพิจารณาในกฎหมายปกติ 

ข้อ คัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญของกลุ่มพันธมิตรฝ่ายขวา และพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้น ถ้าพิจารณาในด้านของอำนาจตุลาการ ต้องถือว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้ผลประโยชน์และอำนาจล้นฟ้ากับฝ่ายตุลาการ การต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรง เพราะค่อนข้างเป็นที่ชัดเจนว่า ถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อำนาจตุลาการจะไม่ได้อำนาจพิเศษเช่นนี้อีก

ดัง นั้น ฝ่ายประชาชนก็คงจะต้องยืนยันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ และผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นจริง และจะต้องเป็นการแก้ไขทั้งฉบับ ที่มุ่งไปสู่การยกเลิกอำนาจทางการเมืองของตุลาการ เลิกวุฒิสมาชิกลากตั้ง และควรที่จะไปถึงขั้นการแก้หมวดพระมหากษัตริย์ เพื่อยกเลิกองคมนตรี นี่เป็นเพียงขั้นต่ำ ที่จะนำสังคมไทยไปสู่การสถาปนาประชาธิปไตยอันแท้จริง

ส่วน เรื่องการปรองดองสมานฉันท์ จะต้องเป็นการปรองดองภายใต้หลักการประชาธิปไตยอันถูกต้อง ไม่ใช่เป็นการปรองดองแบบกราบกรานอำมาตย์ และจำนนต่ออภิสิทธิ์ชนเสียงข้างน้อย ต้องให้ประชาชนส่วนใหญ่มีหลักประกัน และสิทธิของประชาชนต้องได้รับความเคารพ

มิฉะนั้นแล้ว การปรองดองก็ปราศจากความหมาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น