วาระแห่งชาติว่าด้วยเรื่อง “นิรโทษกรรม”
โดย สมยศ พฤกษาเกษมสุข
4 กุมภาพันธ์ 2556
นิรโทษกรรม (Amnesty) เป็นการออกกฎหมายให้มีผลย้อนหลังที่เป็นคุณ
มีผลให้การกระทำใด ๆ
ที่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดให้ไม่เป็นความผิดและไม่มีโทษ
ไม่ว่าจะมีอยู่ในระหว่างการพิจารณราคดี หรือคดีสิ้นสุดแล้ว
หรืออยู่ในขั้นตอนใดก็ต้องยุติลง
มักเป็นการลบล้างการกระทำความผิดทางอาญาที่บุคคลใดไก้กระทำมาแล้วดดยมีมูล
เหตุมาจากความขัดแย้งทางการเมือง หรือเกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง
จึงไม่ใช่การกระทำผิดทางอาญาโดยทั่วไป
การนิรโทษกรรมมักเป็นเรื่องทางการเมือง ดังเช่น รัชกาลที่ 7
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรมให้กับคณะราษฎร
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย
ต่อมาการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นไปได้ทั้งประราชกำหนดนิรโทษกรรม
และด้วยการตราเป็นพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม รวมทั้งกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
ที่ผ่านมาฝ่ายทหารซึ่งยึดอำนาจการปกครองล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
มักจะทำการนิรโทษกรรมให้กับตนเองอยู่เสมอ รวมกกันแล้วมีการนิรโทษกรรมถึง 21
ครั้งด้วยกัน
การรัฐประหารเป็นการก่อกบฏ ทำลายประชาธิปไตย มีความผิดทางอาญาร้ายแรง
แต่ทว่าคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ใช้อำนาจเถื่อนนิรโทษกรรมให้ตนเอง
บัญญัติไว้ในมาตรา 37 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พศ.2549
ซึ่งต่อมานำมาแปลงร่างบัญญัติไว้ในมาตรา 309 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550
ทำให้คณะรัฐประหารพ้นจากการกระทำความผิดทั้งในอดีต และปัจจุบัน
อนาคตกลายเป็นอำนาจแฝงครอบงำการเมืองจนถึงทุกวันนี้
การนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องแปลกทางการเมือง
รัฐบาลเผด็จการยึดอำนาจไว้ได้ก็ทำการนิรโทษกรรมให้ตนเอง
เมื่อประชาชนผู้รักประชาธิปไตยต่อสู้กับการรัฐประหาร
หรือคัดค้านอำนาจนอกระบบกลับถูกดำเนินคดีทางอาญาอย่างรุนแรง
กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมืออำนาจเผด็จการในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของ
ประชาชน เป็นเหตุให้ความขัดแย้งทางการเมืองบานปลายออกไป
กลายเป็นความเกลียดชัง กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเมือง
ในยุคสมัยสงครามเย็นทศวรรษ 1960 – 1980 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทย
เป็นเวลากว่า 30 ปีด้วยกัน จนผู้คนล้มตายกันจำนวนมาก
ในที่สุดรัฐบาลได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทั้งหมด
เพื่อให้กลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
แถมยังต้องมอบที่ดินและเงินทุนทำกินให้อีกด้วย ผลจากการนิรโทษกรรม
อดีตนิสิตนักศึกษาที่จับอาวุธสู้กับรัฐบาลได้กลายมาเป็นนักการเมืองคุณภาพใน
ทุกพรรคการเมืองในขณะนี้
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ฝ่ายตุลาการได้กระโดดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเผด็จการ
ทำหน้าที่ตัดสินพิพากษาเป็นไปตามความต้องการของรัฐเผด็จการในช่วงนั้น
รวมทั้งยังเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองอย่างเปิดเผย ทำให้หลักการถ่วงดุล –
คานอำนาจ ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ – บริหาร – ตุลาการ เสียหาย
ตุลาการบางส่วนยังเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2550
ให้ฝ่ายตุลาการแต่งตั้งวุฒิสภาจำนวนครึ่งหนึ่ง และองค์กรอิสระ
จนทำให้สูญเสียความเป็นกลาง
การพิพากษาคดีอันสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง
จึงขาดความน่าเชื่อถือ และความเป็นกลางทางการเมือง
มีการใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามและการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
โดยกระบวนการยุติธรรมมิอาจทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรม
นำมาสู่การเลือกปฏิบัติ
และสองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เป็นต้นมา ดังเช่น ความเห็นของ นายอุกฤษ มงคลนาวิน
ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.)
เห็นว่า แม้มีกฎหมายว่าด้วยการปล่อยตัวชั่วคราว
แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้รับการคุ้มครอง โดยเฉพาะในคดีการเมือง
มักถูกกล่าวหาด้วยข้อหารุนแรงเกินกว่าความจริง
ส่งผลต่อการใช้ดุลพินิจของศาลจึงเสนอให้ทบทวนแนวทางให้ยิดหลักความยุติธรรม
ความเสมอภาค และสิทธิผู้ต้องหาในคดีอาญา
สอดคล้องกับความเห็นหลายหน่วยงาน
ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงแนวทางของศาลที่มีต่อคดีการเมือง
โดยเฉพาะผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112
ประมวลกฎหมายอาญามักถูกละเมิดสิทธิในการประกันตัว
หลายรายที่ยอมเลือกที่จะยอมรับสารภาพแบบถูกบีบบังคับ
ย่อมไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์กระบวนการยุติธรรมของไทยเรา
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง
และนักกการเมืองฝ่ายค้านส่วนหนึ่งจะคัดค้านการนิรโทษกรรมแบบหัวชนฝา
เพราะพวกเขาได้ตำแหน่งการเมืองมาจากรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหาร
และเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดวิกฤติการณ์การเมือง
การคัดค้านของคนกลุ่มนี้จึงเป็นไปเพื่อรักาความเป็นเผด็จการ
และความเป็นอภิสิทธิ์ชน
ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ
และอาจารย์อุกฤษ มงคลนาวิน เพื่อการตรากฎหมายนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง
จึงมึคุณค่า ความหมายที่รัฐบาลต้องนำมาพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วนของชาติ
ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อลดทอนความขัดแย้ง
และสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชน
การที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ขาดความกล้าหาญทางการเมืองหวังแต่เพียงอยู่ในอำนาจต่อไป
โดยเพิกเฉยต่อการนิรโทษกรรม เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความล้าหลังทางการเมือง
ย่อมทำให้ผู้รักประชาธิปไตยทั้งมวลสิ้นหวังต่อรัฐบาล
ซึ่งหมายถึงจุดเริ่มต้นของบทอวสานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างแน่นอน
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น