สรุปเพิ่มเติมงานเสวนาเรื่องทุนกับแรงงาน 24 ก.พ. ที่ประชาไทไม่รายงาน
โดย พัชณีย์ คำหนัก
โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย
โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย
ผู้เขียนได้รับเชิญเป็นวิทยากรในงานเสวนา
หัวข้อ“ทำไมกลุ่มทุนบางกลุ่มถึงคัดค้านการปรับค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศ”
ของสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอการตัดเย็บเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์หนังแห่ง
ประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 56 ที่ห้องประชุม 14 ตุลา 19 ถ.ราชดำเนิน
ส่วนประเด็นที่นำเสนอคือ
สถานการณ์ปัญหาแรงงานปัจจุบันในบริบทความขัดแย้งทางการเมือง :
การปรับตัวของชนชั้นนายทุนและผลกระทบต่อแรงงาน
คู่กับวิทยากรอีกท่านหนึ่งคือ อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ที่นำเสนอเกี่ยวกับกลุ่มทุน
แต่สำนักข่าวประชาไทไม่รายงานให้ครบองค์ประกอบของการเสวนาที่มีวิทยากร 2 คน
โดยไม่ทราบเหตุผล
ผู้เขียนจึงขอสรุปด้วยตัวเองเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับองค์กรแรงงานสำหรับวิจารณ์และแก้ไข ดังนี้
สถานการณ์แรงงานไทยปัจจุบันถูกนำเสนอออกเป็นสองช่วงคือ ช่วงวิกฤตน้ำท่วมปี 2554 และช่วงปี 2555-2556 มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนปัญหาและสะท้อนนัยทางการเมือง เพื่อนำประเด็นที่สรุปไปแลกเปลี่ยนทัศนะกับสหภาพแรงงานในอนาคต
เราอยู่ในกระแสที่รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยใช้นโยบายประชานิยมเพิ่มค่า จ้างขั้นต่ำคู่ขนานไปกับนโยบายเสรีนิยมเอาใจนักลงทุน ลดภาษีนิติบุคคลเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ กอปรกับการดำรงนโยบายค่าจ้างราคาถูกสวัสดิการต่ำกับระบบการจ้างงานแบบ ยืดหยุ่นเพื่อเป็นเครื่องมือในการจูงใจนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ พร้อมๆ กับการอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองทั้งในเชิงสัญลักษณ์ ไปจนถึงการใช้ความรุนแรงโดยอ้างความมั่นคงของรัฐทำลายขบวนการเคลื่อนไหวทาง สังคม เช่น ขบวนการเสื้อแดง ภายใต้ความขัดแย้งทางการเมือ
ประเด็นปัญหาความไม่เป็นธรรมที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาและกลไกรัฐกระทำต่อขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ได้แก่
¡ ขบวนการต้านรัฐประหารปี 2549 ถูกกลั่นแกล้ง ทำลาย
¡ เสรีภาพในการรวมตัว ชุมนุม
แสดงความเห็นที่แตกต่างกัน
ถูกคุกคามด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิด
ทางคอมพิวเตอร์ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในฯ
ที่ใช้โดยกลไกรัฐที่เข้มแข็งคือ คุก ศาล ทหาร ตำรวจ
¡ ผู้ต้องหา นักโทษทางการเมืองจากการถูกสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพ.ค.53 ยังคงถูกกักขังอย่างไม่เป็นธรรมหลายคน
สถานการณ์วิกฤตน้ำท่วม ปี 2554
วิกฤตน้ำท่วมสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ดังนี้
· ผู้ประกอบการในจ.อยุธยาได้รับความเสียหาย รวมมูลค่า 25 พันล้านบาท
· โรงงานถูกน้ำท่วมประมาณ 500 แห่งใน 19 จังหวัด
· สถานประกอบการทั่วประเทศได้รับผลกระทบ รวม 31 จังหวัด จำนวนกว่า 28,000 แห่ง
· ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานจำนวน 9.9 ล้านคน
· ผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมจำนวน 1,000 คน บาดเจ็บ 107,000 คน
· แรงงานถูกเลิกจ้างจำนวน 50,000 คน จากสถานประกอบทั้งหมด 117 แห่ง
· ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือแรงงานเหมาค่าแรง หรือเอาท์ซอร์ส
· สหภาพแรงงานถูกทำลายประมาณ 10 แห่ง
ภายใต้สถานการณ์ข้างต้น ผู้ประกอบการต้องระงับการผลิตเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งทำให้ไม่สามารถส่งชิ้นส่วนการผลิตไปยังลูกค้า หรือแบรนด์ ทำให้ลูกค้าหาผู้รับจ้างผลิตรายใหม่แทนที่ ทำให้สูญเสียโอกาสในการดำเนินกิจการ และยังต้องรื้อฟื้นกิจการอีกเป็นเวลา 2-3 เดือน จึงขอระงับการจ่ายหนี้สินและขอเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารของรัฐในอัตรา ดอกเบี้ยต่ำ
นอกจากนี้ นายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ยังใช้มาตรการกับลูกจ้างที่แตกต่างกันไป เช่น
· เลิกจ้างและปิดกิจการ
· ย้ายแรงงานไปยังฐานการผลิตในต่างประเทศ หรือต่างจังหวัดในภาคตะวันออกเพื่อหนีน้ำท่วม
· เลิกจ้างคนงานทั้งหมด และรับคนใหม่เข้ามาทำงานแทนและเปลี่ยนสภาพการจ้างงาน
· เลิกจ้างคนงานบางส่วน ซึ่งเป็นคนงานเหมาและย้ายโรงงานไปจังหวัดอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงน้ำท่วม ทำให้คนงานหลายคนไม่ต้องการย้าย
· ขายกิจการ ถ่ายโอนพนักงานทั้งหมดไปยังนายจ้างคนใหม่ โดยไม่มีความชัดเจนเรื่องสภาพการจ้างงาน
· ให้ลูกจ้างเซ็นใบลาออก เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย
สำหรับนายจ้างที่ไม่ได้รับผลกระทบ กระทำดังนี้
· ใช้น้ำท่วมเป็นข้ออ้างในการเลิกจ้างคนงานจำนวนมากและทำลายสหภาพแรงงาน
· มีข้อพิพาทกับแรงงาน และเลิกจ้าง ทำลายสหภาพแรงงาน
· นายจ้างที่เข้ามากุมกิจการบริษัทบางแห่งที่ได้รับผลกระทบ ขอเปลี่ยนสภาพการจ้างงานลูกจ้างบริษัทเดิม และเลิกจ้างบางส่วน
ดังนั้น เราสามารถสรุปประเด็นปัญหาแรงงานของปี 2554 ได้ดังนี้
· เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ลอยแพลูกจ้างเหมาค่าแรง
· ลดค่าจ้างลดลงเหลือ 25%, 50%,75%
· ย้ายโรงงานไปยังต่างจังหวัดและต่างประเทศ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
· สหภาพแรงงานถูกทำลายอำนาจการต่อรอง
(รายงานสถานการณ์แรงงานช่วงน้ำท่วม อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซด์โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย www.thailabour.org)
เหตุผลของนายจ้างที่ใช้ยกเลิกสัญญาจ้างงานข้างต้น มีดังนี้
¡ น้ำท่วมโรงงาน เครื่องจักรเสียหาย ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้บางส่วนและต้องลดจำนวนลูกจ้างส่วนเกินเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
¡ น้ำไม่ท่วมโรงงาน แต่ขาดชิ้นส่วนการผลิตบางส่วนจากผู้ผลิตรายอื่นที่น้ำท่วม ทำให้ผลิตได้ไม่เต็มที่ ต้องลดกำลังการผลิตลง
¡ น้ำท่วมโรงงาน ดำเนินการผลิตไม่ได้ ต้องเลิกจ้างลูกจ้างเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
¡ ลูกค้ายกเลิกคำสั่งซื้อ จึงต้องลดจำนวนลูกจ้าง
¡ ตำรวจไม่รับแจ้งความจากคนงานที่ถูกโกงค่าจ้าง
¡ ศาลแรงงานพยายามกดดันลูกจ้างให้ยอมรับการเลิกจ้างและรับค่าชดเชยแทน
¡ การร้องทุกข์ผ่านสำนักงานแรงงานและสวัสดิการจังหวัดไม่บังเกิดผล เพราะไม่อำนวยความสะดวกคนงานให้เจรจาต่อรองกับนายจ้าง
¡ ขั้นตอนการสอบสวนร้องทุกข์ไม่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาถึง 60 วันและต่ออีก 30 วันหากนายจ้างอุทธรณ์
¡ กระทรวงแรงงานไม่ตรวจสอบการกระทำไม่เป็นธรรมของนายจ้างที่โกงค่าจ้าง ค่าชดเชย ทำลายสหภาพแรงงาน ใช้กลอุบายหลอกลวงลูกจ้าง
¡ กระทรวงยืดหยุ่นกฎระเบียบเป็นคุณให้นายจ้างไม่ต้องปฎิบัติตามกฎหมายในการจ่ายค่าชดเชย โดยยอมให้แบ่งจ่ายคนงานเป็น 2 งวด
¡ ภาวะความไม่มั่นคงเมื่อเกิดวิกฤต การละเมิดสิทธิแรงงานเกิดขึ้นทั่วไป
¡ จากนโยบายจ้างงานแบบยืดหยุ่นทำให้แรงงานสูญเสียสถานะการจ้างงานโดยง่าย
¡ การลดบทบาทของรัฐในการดูแลคุ้มครองสวัสดิการสังคมของผู้ใช้แรงงาน
¡ สวัสดิการสังคมไม่เพียงพอและไม่สามารถรองรับปัญหาวิกฤต ทำให้แรงงานถูกผลักภาระ
¡ ระบบยุติธรรมไม่เห็นใจแรงงาน (2 มาตรฐาน)
สถานการณ์แรงงานหลังประกาศค่าจ้างขั้นต่ำ 300
ผู้เขียนได้สำรวจสถานการณ์หลังจากรัฐบาลขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเมษายน 2555 ว่าส่งผลต่อการปรับตัวของนายจ้างอย่างไร โดยศึกษากรณีโรงงานผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง ในอ.วังน้อย จ.อยุธยา
บริษัท N P (ขอปกปิดชื่อจริง) รับจ้างผลิตมอเตอร์หมุนของฮาร์ดดิสไดร์ฟ (spindle motors) ให้แก่แบรนด์ Western Digital, Seagate, Hitachi ได้ปรับตัวด้วยวิธีการดังนี้
¡ เร่งงานให้ได้ตามเป้าการผลิต
¡ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต คนงานหญิงทำงานหนักขึ้น
¡ ลดค่าใช้จ่ายของโรงงาน
¡ สถานะลูกจ้างเป็นพนักงานรายเดือน จำนวนประมาณ 1,500 คน และเป็นพนักงานรายวัน ประมาณ 500 คน ไม่มีพนักงานเหมาช่วง
¡ 85% เป็นกำลังแรงงานหญิง
¡ ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มจาก 190 บาทเป็น 282 บาท จากนั้นขึ้นตามอายุงาน
¡ ระบบวันทำงาน ทำ 5 หยุด 1 วัน ไม่กำหนดวันหยุดตายตัว มี 2 กะ เริ่มเวลา 8.00-17.00 น.
¡ โอที ตั้งแต่เวลา 17.30 – 20.00 น. (2.5 ช.ม.)
¡ กะดึก 35 บาท (เปลี่ยนทุกสัปดาห์)
¡ เบี้ยขยัน เริ่มจาก 600 บาทถึง 800 บาท
¡ โบนัสประจำปีกำหนด 71 วัน จ่ายทุกวันที่ 29 เดือนธ.ค
.
¡ ค่าครองชีพ 960 บาท/เดือน
¡ ค่าข้าว 20/ด
¡ ค่าความเสี่ยง 12 บาท/วัน ในแผนกส่องกล้อง
การปรับค่าจ้าง เดือนละ 2,160 สำหรับพนักงานรายเดือน ดังตัวอย่างเช่น
¡ คนงานใหม่ 8,460 บาท
¡ คนงานที่มีอายุงาน 4 ปี 8,910 บาท
¡ คนงานที่มีอายุงาน 10 ปี 10,200 บาท
¡ คนงานที่มีอายุงาน 16 ปี 11,000 บาท
¡ คนงานที่มีอายุงาน 20 ปี 12,290 บาท
¡ คนงานที่มีอายุงาน 21 ปี 14,000 บาท
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเงินเดือนของฝ่ายบริหาร ทำให้เห็นโครงสร้างรายได้ที่เหลื่อมล้ำกัน ดังนี้
¡ ประธานบริษัทและกรรมการบอร์ด (ไม่ทราบแน่ชัด)
¡ ผู้จัดการโรงงาน 200,000
¡ รองผู้จัดการโรงงาน 150,000
¡ ผู้จัดการฝ่าย เช่น ฝ่ายผลิต, ฝ่ายบริหารทั่วไป 60,000-80,000
¡ รองผู้จัดการ เช่น ฝ่ายตรวจสอบคุณภาพ QA 40,000-60,000
¡ หัวหน้า Senior 40,000-50,000
¡ ซุปเปอร์ไวเซอร์ 30,000-40,000
¡ ผู้ช่วยซุปฯ 20,000
¡ Senior Staff 15,000
¡ Staff 12,000
¡ หัวหน้างาน 13,000+1,000 (ค่าตำแหน่ง)
¡ รองหัวหน้างาน Sub-leader-12,000+500 (ค่าตำแหน่ง)
¡ ฝ่ายปฏิบัติการ 8,460 (ปรับตามอายุงาน)
จากตัวอย่างการปรับตัวของทุนข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่า ยังไม่มีการยกระดับมาตรฐานการจ้างงานให้สูงขึ้น ล่าสุดกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รายงานข้อมูลการเฝ้าระวังสถานการณ์ การเลิกจ้าง จากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2556 ว่ามีสถานประกอบการเลิกจ้าง จำนวน 41 แห่ง รวมลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 1, 874 คน ในจำนวนนี้เป็นลูกจ้างได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง เพียง 495 คน แต่ยังมีสถานประกอบการเสี่ยงเลิกจ้างเพิ่ม อีก 24 แห่ง รวมลูกจ้าง 3,901 คน และมีแรงงานที่เป็นผู้ประกันตน ขึ้นทะเบียนว่างงานสะสมแล้วจำนวนประมาณ 52,000 คน
ในการปรับตัวของทุนอีกรูปแบบหนึ่งคือ ปรับลดสวัสดิการเดิมลงเพื่อชดเชยกับการปรับอัตราค่าจ้าง ซึ่งพบเห็นทั่วไป เพื่อรักษาอัตรากำไรไม่ให้ลดลง อีกทั้งยังมีนายจ้างที่เลือกใช้วิธีการเลิกจ้างสมาชิกสหภาพแรงงานเพื่อบั่น ทอนอำนาจการเจรจาต่อรอง ดังกรณีของสหภาพแรงงานอิเลคโทรลักซ์ ที่สมาชิกจำนวน 129 คน ถูกเลิกจ้างจากการขอเจรจาปรับฐานเงินเดือนตามอายุงาน เมื่อเดือนม.ค.56 และยังมีสหภาพแรงงานด้านขนส่งภาคเอกชนได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้าง ขั้นต่ำ เป็นต้น
ผลกระทบต่อวิสาหกิจขนาดย่อย-กลาง
จากข้อมูลจากปลัดกระทรวงแรงงานเมื่อเดือนม.ค. 56 พบว่ามีผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ปิดกิจการลง โดยสาเหตุหลัก คือ ประสบปัญหาเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ เช่น ขาดออร์เดอร์สั่งซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาเรื่องการย้ายกิจการจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้จะส่งผลให้ขาดสภาพคล่องจากการบริหารธุรกิจโดยภาพรวม ดังนั้นการปิดกิจการจึงมาจากปัจจัยภายในสืบเนื่องจากปีที่แล้ว และอาจเป็นการกล่าวอ้างผสมรอยว่าเกิดจากการปรับค่าจ้าง 300 บาท เพื่อขอความเห็นใจมากกว่า
สรุปประเด็นแรงงานจากสถานการณ์ปี 2555-2556
1. แรงงานยังมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำ
2. แรงงานยังไม่มีอำนาจการต่อรองที่แท้จริง
3. ระบบสวัสดิการถูกนายจ้างปรับลดและรัฐไม่ปรับปรุง
4. ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนยังไม่ได้รับการแก้ไข
5. ข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานถูกแช่แข็ง
6. นโยบายประชานิยมไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้
7. กลไกคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไร้ประสิทธิภาพ
ปัญหาเศรษฐกิจแรงงานต่อนัยทางการเมือง มีประเด็นดังนี้
1. การใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ เพราะระบบอภิสิทธิ์ชนในโครงสร้างรัฐไทยเข้มแข็ง สถานะทางชนชั้นระหว่างทุนกับแรงงานยังคงแตกต่างกัน
2. ประชาชนถูกลดทอนอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ ไม่มีอำนาจการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายในระดับสถานที่ทำงานและระดับการเมือง
3. ประชาธิปไตยอ่อนแอ การละเมิดสิทธิมนุษยชนมีมากขึ้น สิทธิเสรีภาพในสถานที่ทำงานและระดับการเมืองของประชาชนยังไม่ได้รับการส่ง เสริมอย่างจริงจัง
4. ไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เช่น เก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า ปรับปรุงสวัสดิการให้ได้มาตรฐานสากล
ข้อเสนอต่อการปรับปรุงแนวทางการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงาน
1. ปรับปรุงขบวนการแรงงาน ด้วยการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของสมาชิกให้มีพื้นที่แสดงออกมากขึ้น ลดช่องว่างระหว่างสมาชิกกับแกนนำทั้งด้านความสามารถและอำนาจการตัดสินใจ
2. สหภาพแรงงานต้องเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ระบบการเลือกตั้งที่เป็นอยู่ไม่เพียงพอ และไม่ประกันการมีประชาธิปไตยภายในองค์กรได้เสมอไป
3. มีโครงการทางการเมืองของตัวเอง มีชุดความคิดทางการเมืองชัดเจน
4. มีชุดข้อเสนอที่เป็นระบบ และมีการจัดลำดับความสำคัญ
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/print/45576
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น