หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

รัฐบาลตุ๊กตาหุ่นเชิดของทหาร

รัฐบาลตุ๊กตาหุ่นเชิดของทหาร 


 
โดย อ.ใจ อึ๊งภากรณ์

 
ใน ขณะที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อจับมือต้อนรับฆาตกร กษัตริย์เผด็จการ ฮามัด บิน อีซา จากบาห์เรน ผู้เข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าที่เรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อสองปีก่อน    รัฐมนตรีต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ก็กำลังเล่นละครคลั่งชาติที่ศาลโลกเรื่องเขาพระวิหาร

เขาพระวิหารเป็นวัดเขมร สร้างโดยชาวเขมร ในสมัยที่เขมรเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่ครอบครองดินแดนที่ปัจจุบันเป็น ประเทศไทย ลาว และเขมร และทุกอย่างที่ชนชั้นปกครองไทยอ้างว่าเป็นวัฒนธรรมคนชั้นสูง “ไทย” เอามาจากเขมรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นราชาศัพท์ หรือรูปแบบการก่อสร้าง สุโขทัยก็เป็นเมืองเขมรที่ปกครองโดยกษัตริย์เขมร อยุธยาก็มีกษัตริย์เขมร ดังนั้นการ “ทวงคืน”  อะไรต่ออะไรที่พวกฝ่ายขวาเสื้อเหลืองและทหารมองว่า “เป็นของไทย” ล้วนแต่เป็นคำโกหกเพื่อปกปิดความจริงทั้งสิ้น มันปกปิดความเหลื่อมล้ำและการกดขี่ภายในสังคมไทยเอง

แต่แทนที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะหาทางร่วมพัฒนาโบราณสถาณเขาพระวิหาร เพื่อประโยชน์และความสงบสุขของพลเมืองสองฝั่งชายแดน เหมือนที่เคยพยายามทำก่อนรัฐประหาร ๑๙ กันยา รัฐบาลและรัฐมนตรีสุพงษ์ก็เต้นไปเต้นมาตามจังหวะและเนื้อเพลงของทหารและพวก คลั่งชาติ

การทะเลาะกันเกี่ยวกับพื้นดินไม่กี่เมตรรอบๆ วัด ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ไม่ต่างจากเด็กๆ ตีกันเพื่อแย่งของเล่น จะแคร์ไปทำไมว่าเศษดินบนภูเขาเป็น “ของใคร” ? ในเมื่อมาใช้ร่วมกันก็ได้ แต่ชนชั้นปกครองไทยและเขมรแคร์เรื่องนี้ เพราะมันเป็นการแข่งกันเบ่งอำนาจ และอย่าลืมว่าอำนาจดังกล่าวของชนชั้นปกครองใช้เพื่อเข่นฆ่า กดขี่ และขูดรีดพลเมืองภายในประเทศ

ดังนั้นพวกที่หลงไหลโบกธงไทยเพื่อทะเลาะกับเขมรเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งรวมถึงคนเสื้อแดงบางคนด้วย ก็แค่เป็นทาสรับใช้ของอำมาตย์เท่านั้น มันเป็นการคลานทางปัญญา

สิ่งที่เราเห็นในยุคนี้คือการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเน้นบทบาทของทหารใน เรื่องเขาพระวิหาร คือปล่อยให้นายพลมือเปื้อนเลือดจากการฆ่าเสื้อแดงมามีความเห็นและอิทธิพล เรื่องนี้ ในระบบประชาธิปไตยทหารไม่ควรมีความเห็นใดๆ เรื่องการเมืองระหว่างประเทศหรือเรื่องอื่นในที่สาธารณะ

ในเรื่องสื่อดิจิตอลก็เหมือนกัน ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทหารมี “อภิสิทธิ์พิเศษ” ในการครองช่องของตนเอง โดยมีการอ้างถึง “ความมั่นคง” การครองสื่อของทหารเป็นแง่หนึ่งของเผด็จการ และเป็นวิธีกอบโกยความร่ำรวย “ผิดปกติเกินเงินเดือนตนเอง” สำหรับพวกนายพลมือเปื้อนเลือดอีกด้วย การเสือกในรัฐวิสาหกิจก็เช่นกัน และเป็นผลพวงของเผด็จการทหารตั้งแต่ยุคสฤษดิ์

นอกจากนี้ในการเจรจา “สันติภาพ” ในภาคใต้ ก็มีทหารนำเป็นหลัก คือทหารนำการเมืองนั้นเอง ซึ่งไม่มีวันนำไปสู่สันติภาพแท้ได้ เพราะปัญหาใหญ่คือการใช้กำลังของรัฐไทยต่อคนกลุ่มน้อย เพื่อบังคับให้คนที่ไม่เข้ารูปแบบ “ความเป็นไทย” ต้องถูกบังคับให้แปรตัวไปพูดภาษาไทยและจำยอมต่อวัฒนธรรมของอำมาตย์

การที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังคลั่งการใช้ 112 และไม่มีวันยอมยกเลิกกฏหมายนี้ หรือปล่อยนักโทษการเมือง 112 ก็เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของทหาร เพราะทหารเป็นกลุ่มหลักที่อาศัยความชอบธรรมจากระบบกษัตริย์และต้องการใช้ 112 เพื่อไม่ให้ใครวิจารณ์การใช้กษัตริย์ของทหาร แต่แน่นอนพวกนักการเมืองนายทุนในพรรคเพื่อไทยก็ต้องการใช้เช่นกัน

แม้แต่คณะกรรมการ ที่อ้างว่าเป็น “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน” ก็มีพวกใส่เครื่องแบบ

ล่าสุดรัฐมนตรีเฉลิม อยู่บำรุง ก็เสนอว่าควรจะนีรโทษกรรมทหารและนักการเมืองที่ฆ่าเสื้อแดง อันนี้ไม่น่าแปลกใจ เพราะไม่ว่าจะทำโดยทางการหรือไม่ รัฐบาลเพื่อไทยก็ปล่อยให้พวกฆาตกรมือเปื้อนเลือดเหล่านี้ลอยนวลอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ลอยนวลด้วย ประยุทธิ์อ้าปากลั่นในทุกเรื่องได้ ในประเทศตุรกีหรืออาเจนทีนา รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกล้าจัดการกับทหารหลังยุคเผด็จการได้ แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไม่ทำอะไร ไม่ใช่เพราะ “ไม่กล้า” แต่เป็นเพราะ “จงใจจับมือกับทหาร”

ดังนั้นการที่นายกยิ่งลักษณ์จับมือกับฆาตกรกษัตริย์เผด็จการฮามัด บิน อีซา จากบาห์เรน เป็นแค่สัญญลักษณ์ว่าการฆ่าเสื้อแดงหรือชาวบาห์เรน “ไม่ผิด”

ทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลตุ๊กตาหุ่นเชิดของทหาร และทำหน้าที่รับใช้ทหารดีกว่าพรรคประชาธิปัตย์หลายเท่า

(ที่มา)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น