หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พ.ร.บ.ปรองดอง กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

พ.ร.บ.ปรองดอง กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

 

 
 
โดย อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ 
 
ในระยะสองเดือนมานี้ พรรคเพื่อไทยได้ดำเนินการรุกทางการเมืองในขอบเขตจำกัด ด้วยการผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา มุ่งเฉพาะ “ลดเขี้ยวเล็บ” ของพวกเผด็จการที่ใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 พร้อมทั้งผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่จะคืนความเป็นธรรมให้กับเฉพาะประชาชนและนักโทษการเมืองที่เข้าร่วมการ ต่อสู้ตลอดกว่าหกปีมานี้ โดยยังไม่รวมแกนนำและนักการเมืองของทั้งสองฝ่าย และไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนในการปราบปรามประชาชนเมื่อเมษายน 2552 และสังหารหมู่ประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553

ปาฐกถาพิเศษของนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ณ การประชุมประชาคมประชาธิปไตย ที่กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงจังหวะก้าวทางการเมืองครั้งสำคัญที่สุดนับ ตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554

กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา รัฐบาลและแกนนำพรรคเพื่อไทยได้แสดงท่าทีประนีประนอม กระทำทุกอย่างเพื่อ “ขอหย่าศึก” กับฝ่ายเผด็จการแฝงเร้น แนวทางดังกล่าวอาจเป็นสิ่งจำเป็นทางการเมืองในระยะแรกเนื่องจากเป็นเวลาที่ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ยังไม่สามารถยึดกุมอำนาจการบริหารของประเทศได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งป้อมค่ายของฝ่ายเผด็จการที่ยังเข้มแข็งและพร้อมที่จะรุมขย้ำรัฐบาล ใหม่เมื่อใดก็ได้

ความพยายามของแกนนำพรรคเพื่อไทยที่จะ “เกี้ยเซี้ย” กับฝ่ายเผด็จการมาถึงจุดสำคัญในช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน 2555 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร “ประกาศสละเรือ” จากนั้น พรรคเพื่อไทยก็เร่งเสนอพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติเข้าสู่สภา โดยมีเนื้อหา “นิรโทษกรรมเหมาเข่ง” ให้กับทุกคนทุกฝ่ายโดยไม่แยกแยะ พรรคเพื่อไทยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยในเวลานั้นก็ เพราะแกนนำพรรคเพื่อไทยกำลังเพ้อฝันไปว่า ฝ่ายเผด็จการแฝงเร้นได้ “เปิดไฟเขียว” ยอมประนีประนอมด้วยแล้ว


ในที่สุด ความพยายามที่จะ “ปรองดอง” ก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายเผด็จการยังคงใช้บรรดา “องค์กรอิสระในรัฐธรรมนูญ” ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์ในสภาและมวลชนอันธพาลเสื้อเหลือง-หลากสีบนท้องถนน บั่นทอนเสถียรภาพรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ซ้ำรอยกับที่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนได้ประสบจนถูกโค่นล้มมาแล้วเมื่อปี 2551

แม้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 จะถูกสกัดจนล้มเหลว สร้างความผิดหวังอย่างยิ่งให้กับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย แต่ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติซึ่งประชาชนคัดค้านอย่างที่สุดนั้น ก็ต้องสะดุดไปด้วยในคราวเดียวกัน

ฉะนั้น การรุกครั้งล่าสุดนี้ของพรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในขอบเขตที่จำกัดมาก โดยยังไม่เป็นการปฏิรูปรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ รวมทั้งการเสนอร่างพระราชบัญญัติให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชน โดยไม่รวมแกนนำและนักการเมือง จึงเป็นทิศทางการเมืองที่ถูกต้องและได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจาก ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย

แต่ทว่า ในกระแสคลื่นการรุกดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงและสส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งกลับออกมา “จงใจกวนน้ำให้ขุ่น” ด้วยการเคลื่อนไหวผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติฉบับเหมาเข่ง เข้าสู่สภาอีกครั้ง โดยชูคำขวัญว่า “เอาทักษิณกลับบ้าน” ทั้งๆ ที่รู้ดีว่า ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยต่อต้าน พ.ร.บ.ปรองดองฉบับนี้ เพราะเป็นการนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่สั่งการให้ฆ่าหมู่ประชาชนเมื่อ เมษายน-พฤษภาคม 2553 ด้วย

ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจาก พ.ร.บ.ปรองดองของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็คือ พวกเผด็จการและสมุนรับใช้ของพวกเขาทั้งหมด รวม ทั้งนักการเมืองอดีตพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเอง พ.ร.บ.ปรองดองจึงเป็นกฎหมาย “เกี้ยเซี้ย ยื่นหมูยื่นแมว” อย่างแท้จริง โดยมีประชาชนที่ต้องคดีการเมืองเป็นเครื่องต่อรองนั่นเอง

ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า พ.ร.บ.ปรองดองฉบับเหมาเข่งนี้มีลักษณะสองประการคือ เลวร้ายและเห็นแก่ตัว

ที่ว่าเลวร้ายนั้น เพราะเป็นการเอานิรโทษกรรมประชาชนที่ถูกกระทำ ไปผูกกับนิรโทษกรรมผู้ที่สั่งการสังหารหมู่ประชาชน บีบบังคับให้ประชาชนที่เป็นเหยื่อต้องยอม “นิรโทษ” ให้กับผู้ก่ออาชญากรรมต่อตน สิ่งที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงกระทำอยู่ก็คือ การใช้เท้าเหยียบย่ำไปบนซากศพประชาชนที่เสียชีวิต ให้เป็นการตายที่ไร้ค่า ตลอดจนซ้ำเติมครอบครัวญาติพี่น้องและมิตรสหายของพวกเขาทั้งหมด

ส่วนที่ว่า “เห็นแก่ตัว” ก็คือ เอานิรโทษกรรมประชาชนไปผูกติดกับนิรโทษกรรมคดีการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณและนักการเมืองพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน เสมือนต่อรองกับประชาชนว่า ถ้าอยากออกจากคุกและปลอดคดี ก็ต้องให้พวกตนได้ประโยชน์ด้วย ส่วนคนที่บาดเจ็บพิการล้มตายนั้นให้ลืมเสีย เพราะได้ “เยียวยา” ด้วยเงินก้อนโตไปแล้ว

ในหลายปีมานี้ ร.ต.อ.เฉลิมได้กระทำอะไรให้กับขบวนประชาธิปไตยบ้าง นอกเหนือไปจากการห้อยโหนชื่อของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในโอกาสต่างๆ? มวลชนจำได้แต่เพียงว่า ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ร.ต.อ.เฉลิมได้แต่วิ่งหนีการชุมนุมของพวกอันธพาลเสื้อเหลืองทั้งที่ตนเป็น ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มวลชนยังจำได้ว่า ทุกครั้งที่มีข่าวลือรัฐประหาร ร.ต.อ.เฉลิมจะเป็นคนแรกที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปออกชายแดนทันที!
ร.ต.อ.เฉลิมอาจจะไม่หยี่ระคนเสื้อแดง เพราะเชื่อมั่นว่า ที่ตนได้ตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นก็เพราะพ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ข้างหลังพ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือประชาชนคนเสื้อแดงอันไพศาลซึ่งต่อต้าน พ.ร.บ.ปรองดองฉบับเหมาเข่งนี้ และจะไม่มีวันลืมว่า ร.ต.อ.เฉลิม คือผู้ที่หักหลังคนเสื้อแดงด้วยการผลักดันกฎหมายที่ “เลวร้ายและเห็นแก่ตัว” ฉบับนี้

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองฉบับเหมาเข่งนี้กลับจะเป็นอันตรายต่อนายกฯ ยิ่งลักษณ์และต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเอง เพราะเป็นการตอกย้ำข้อโจมตีของฝ่ายตรงข้ามว่า ตั้งหน้าแต่จะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการเฉพาะ และเป็นการกระพือแรงต่อต้านที่มีต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลกระทบต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่กำลังดำเนิน การอยู่ ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อกลางปี 2555

แรงจูงใจที่แท้จริงของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงในการกระทำครั้งนี้คืออะไร? หลายคนเชื่อว่า ร.ต.อ.เฉลิมก็เพียงแค่ “เชลียร์ตะพึดตะพือ” ต่อพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อความมั่นคงในเก้าอี้รัฐมนตรีของตนโดยไม่ได้หวังผลจริงจังจาก พ.ร.บ.ปรองดองแต่อย่างใด แต่ยังมีอีกคำตอบหนึ่งคือ ร.ต.อ.เฉลิม “จงใจกวนน้ำให้ขุ่น” เพราะรู้ดีว่า การผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองฉบับเหมาเข่งจะถูกต่อต้านอย่างหนักจากทุกฝ่ายจนไม่สามารถ ดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งก็จะมีผลให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราและพ.ร.บ.นิรโทษกรรมต้องล้มเหลว ตามไปด้วย เมื่อพรรคเพื่อไทยจำต้องยอมถอยหลังเป็นคำรบสองในประเด็นเหล่านี้ แล้วหันหน้าไปบริหารเศรษฐกิจแต่อย่างเดียวดังที่ทำมาตลอด โดยหวังไปชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า เก้าอี้รัฐมนตรีของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็จะมั่นคงถาวรไปจนครบวาระนั่นเอง ร.ต.อ.เฉลิมจะบอกได้ไหมว่า คำตอบไหนถูกต้อง?

(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2013/05/46874

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น