หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

วันสำคัญเดือนพฤษภา วันสว่างคาตา ( ตอนที่ 1 )

วันสำคัญเดือนพฤษภา วันสว่างคาตา ( ตอนที่ 1 )




โดย ยังดี โดมพระจันทร์

ดือนพฤษภานี้มีวันสำคัญไล่เรียงกันไปอยู่หลายวัน วันเหล่านี้มีสิ่งที่ร่วมกันคือเป็นวันประวัติศาสตร์หรือวันในอดีตที่ถูกบิด เบือนไปจากวันที่ควรจะเป็น เช่น 1 พฤษภา วันกรรมกรสากล 5 พฤษภา วันจิตร ภูมิศักดิ์ 11 พฤษภา วันปรีดี พนมยงค์ 17 พฤษภา วันพฤษภาทมิฬ และ วันที่ 19 พฤษภา วันตาสว่าง แต่ละวันมีบันทึกเรื่องราวที่น่าสนใจให้เราท่านมาช่วยกันติดตาม

1 พฤษภา วันกรรมกรสากล วันนี้ถูกเปลี่ยนเป็นวันแรงงานแห่งชาติ

วันกรรมกรสากล หรือ วันเมย์เดย์ (May Day) มีจุดกำเนิดมาจากการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพในยุโรปและอเมริกา ในยุคของการปฏิวัติจากสังคมเกษตรไปสู่สังคมอุตสาหกรรมส่งผลให้ผู้คนอพยพไป เป็นแรงงานภาคอุตสาหกรรม และถูกกดขี่ขูดรีดจากนายทุน ถูกบังคับใช้งานเยี่ยงทาส ทำงานหนัก 14-16 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่มีวันหยุด ไม่มีทั้งสวัสดิการและมาตรฐานคุ้มครองความปลอดภัยในการทำงาน สภาพดังกล่าว เป็นสาเหตุให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้ และลุกลามไปหลายประเทศทั้งในยุโรป อเมริกา ละตินอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย จากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2429 คนงานแห่งเมืองชิคาโก ประเทศอเมริกา ได้นัดหยุดงานครั้งใหญ่และจัดการชุมนุมเดินขบวนเพื่อเรียกร้องระบบสามแปด คือ ทำงาน 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง รัฐนายทุนได้ใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง ต่อมาสหพันธ์คนงานแห่งอเมริกาซึ่งได้รับอิทธิพลแนวคิดสังคมนิยมก็ได้ฟื้นการ ต่อสู้เรียกร้องระบบสามแปดอีกครั้งหนึ่งโดยมีมติให้เดินขบวนทั่วประเทศเมื่อ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2433 เรียกร้องให้ลดชั่วโมงทำงานตามที่สหพันธ์คนงานแห่งอเมริกาได้กำหนดไว้ และได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันกรรมกรสากล เป็นสัญลักษณ์แห่งการสามัคคีต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชั้นกรรมกร ซึ่งกรรมกรทั่วโลกจะจัดให้มีการชุมนุมเดินขบวน เพื่อสร้างวัฒนธรรมการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยจากการกดขี่ขูดรีดของทุนนิยม  

สำหรับประเทศไทยเคยมีการจัดงานวันกรรมกรสากลอย่างเปิดเผยครั้งแรก ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2489 ที่สนามหน้าสำนักงานสมาคมไตรจักร์ (สามล้อ) พระราชวังอุทยานสราญรมย์ มีผู้เข้าร่วมประมาณสามพันคน และปีต่อมามีการชุมนุมวันกรรมกรสากลที่ท้องสนามหลวง ภายใต้คำขวัญ “ กรรมกรทั้งหลาย จงสามัคคีกัน” แต่หลังการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 รัฐบาลเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้ห้ามจัดงานวันกรรมกรสากลอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งในปี 2499 กรรมกร 16 หน่วย รวมตัวกันเป็นขบวนการเพื่อรณรงค์ให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายรับรองสิทธิด้าน ต่างๆ และเคลื่อนไหวให้มีการจัดงานวันกรรมกรสากลขึ้นอีก ผลการเจรจาต่อรองกับรัฐบาล ทำให้กรรมกรจำต้องยอมรับเงื่อนไขให้เปลี่ยนชื่อ วันกรรมกรสากล เป็น วันแรงงานแห่งชาติ การควบคุมแทรกแซงโดยรัฐบาลเผด็จการทำให้วันกรรมกรสากลถูกแทรกแซงตลอดมา ( ข้อมูลจากกลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=750 )  

ขบวนการขวาพิฆาตซ้าย และสังหารหมู่กดการต่อสู้ของกรรมกร

ในการรัฐประหาร 6 ตุลา 2519 ชนชั้นปกครองรวมหัวกันสร้างขบวนการขวาพิฆาตซ้าย และสังหารหมู่นักศึกษาประชาชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คณะนายทหาร 3 เหล่าทัพและอธิบดีกรมตำรวจ นำโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช โดยใช้ชื่อว่า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ออกประกาศคณะปฏิรูปออกมาหลายฉบับ โดยมากมีเนื้อหาควบคุมเพื่อสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย และตั้งให้ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี) ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยนายทหารในคณะปฏิรูปการปกครองได้เปลี่ยนสถานะของตัวเองเป็น สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มีสมาชิก 340 คน ทำหน้าที่เหมือนรัฐสภาและฝ่ายนิติบัญญัติ ให้การสนับสนุนรัฐบาลนายธานินทร์ โดยที่คณะรัฐบาลนายธานินทร์มีคณะรัฐมนตรีเพียง 17 คนเท่านั้น และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็คือ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ นั่นเอง ซึ่งนายธานินทร์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่อมาว่า รัฐบาลเสมือนหอยที่อยู่ในเปลือก โดยมีนัยถึงเป็นรัฐบาลที่มีคณะนายทหารคอยให้ความคุ้มกัน จึงได้รับฉายาว่า รัฐบาลหอย รัฐบาลคณะนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ดำเนินนโยบายทางการเมืองอย่างขวาตกขอบ มีการจับกุมและทำร้ายผู้ที่สงสัยว่าอาจกระทำการเป็นคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง โดยอาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2519 มาตราที่ 21 จึงทำให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสูงสุด การจัดกิจกรรมในวันแรงงานแห่งชาติในปี 2520 จึงต้องงดไป

การดำเนินงานของคณะรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ประสบกับปัญหาตลอดด้วยนโยบายขวาตกขอบที่โลกไม่ยอมรับ ในที่สุดคณะนายทหารในสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินชุดเดิมที่นำโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ จึงกระทำการรัฐประหารอีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 และแต่งตั้ง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน สถานการณ์ต่างๆจึงเปลียนไปมีการผ่อนคลายทางการเมืองมากขึ้น จากรูปแบบการปราบปรามฝ่ายก้าวหน้ามาเป็นการหลอกลวง รัฐบาลเกรียงศักดิ์อาศัยการสร้างความสัมพันธ์กับผู้นำกรรมกร ได้ดึงเอาผู้นำบางส่วนมาหนุนอำนาจรัฐ รูปแบบการจัดงานวันกรรมกรนับแต่ยุคนี้จึงกลายเป็นการผลักดันของรัฐบาล และกระทรวงแรงงาน โดยเชิญหัวหน้ารัฐบาลหรือตัวแทนมาร่วมเป็นประธานจัดงาน เพื่อควมคุมการเคลื่อนไหวของกรรมกร โดยเน้นกิจกรรมบันเทิงสนุกสนานแข่งกัฬา เตะตะกร้อ แจกถุงยางอนามัย ฯลฯ ภายหลังการเลือกตั้งปี 2522 แนวทางการสร้างความปรองดองที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ใช้ได้ผลคือ คำสั่ง 66/2523 ปรากฏเป็นผลงานทางการเมืองชิ้นสำคัญ นักศึกษา ประชาชน และผู้นำแรงงานที่เคยหลบหนี และเข้าไปต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในเขตป่าเขาต่างทะยอยก ลับสู่เมือง รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งขณะนั้นได้มาเป็นประธานในงานวัน กรรมกรที่ท้องสนามหลวง

การจัดงานวันกรรมกรกลับถูกจำกัดให้อยู่แค่ในพื้นที่สนามกีฬา
 

ในปีที่มีการรัฐประหารปี 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็น นายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า มีการโกงกินคอร์รัปชั่นอย่างหนักในรัฐบาล และรัฐบาลแทรกแซงสถาบันทหาร วันที่ 26 กุมภาพันธ์ รสช.มีคำสั่งให้บรรดาผู้นำสหภาพแรงงานเข้ารายงานตัวที่หอประชุมกองทัพบก เพื่อ แถลงนโยบายและเหตุผลในการยึดอำนาจ โดยมีพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นผู้ชี้แจง เขาพูดเอาใจกรรมกรว่า "ทุกข์ของกรรมกรถือเป็นทุกข์ของทหาร" แต่การจัดงานวันกรรมกรกลับถูกจำกัดให้อยู่แค่ในพื้นที่สนามกีฬาไทย- ญี่ปุ่นดินแดง แถมมีรถโคชมาคอยรับส่งเพื่อไม่ให้เดินขบวน เสรีภาพถูกปล้น ผู้กรรมกรถูกคุกคาม ห้ามพูดห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเฉพาะสำหรับทนง โพธิอ่านผู้นำกรรมกรคนสำคัญ เมื่อ รสช. ประกาศจะยกเลิก

สหภาพแรงงานของคนงานรัฐวิสาหกิจ ทนงได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า "ถ้าคณะ รสช.ยังยืนยันจะดำเนินการในเรื่องนี้ ไม่เฉพาะคนงานในสหภาพรัฐวิสาหกิจเท่านั้นที่จะเคลื่อนไหว แต่ผู้ใช้แรงงานทุกระดับคงคัดค้านแน่" เขาประณามการประกาศใช้กฎอัยการศึกว่า เป็นการปิดหูปิดตาประชาชน ทนงได้เรียกประชุมสภาแรงงานแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณามาตรการตอบโต้คณะ รสช.ในประเด็นแยกรัฐวิสาหกิจออกจากกฎหมายแรงงาน ภายหลังการประชุมเขาได้แสดงทัศนะอย่างแข็งกร้าวต่อคณะ รสช.ว่า "ทหารกำลังสร้างปัญหาให้กับกรรมกรด้วยการยุบสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจและออกประกาศ รสช. ฉบับที่ 54 และขอฝากเตื่อนถึงบิ๊กจ๊อด อย่านึกว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินแล้วจะทำอะไรก็ได้ ต้องฟังเสียงประชาชนบ้าง เวลานี้ทหารทำให้กรรมกรเป็นทุกข์ ดังนั้นควรทำอะไรให้รอบคอบ วันนี้สามช่า วันหน้าอาจไม่มีแผ่นดินอยู่"  การ เคลื่อนไหวของทนงจึงได้รับการตอบสนองจากขบวนการแรงงานสากลอย่างกว้างขวาง ในฐานะตัวเชื่อมระหว่างขบวนการแรงงานไทยกับขบวนการแรงงานสากล ทำให้ทนงถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ วันที่ 14 มิถุนายน 2534 สภาแรงงานแห่งประเทศไทยภายใต้การนำของทนงได้จัดการประชุมใหญ่กลางท้องสนาม หลวงเย้ยอำนาจ รสช.เรียกร้องให้คืนสหภาพแรงงานให้คนงานรัฐวิสาหกิจและยกเลิกประกาศ รสช.ฉบับ 54 แล้ววันที่ 19 มิถุนายน 2534 เขาก็ได้ถูกทำให้หายตัวไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอย จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือได้ข่าวที่แท้จริงเกี่ยวกับทนงอีกเลย ( ข้อมูลจากประชาไท http://prachatai.com/journal/2006/06/8720 )



 

แม้จะมีรัฐบาลประชาธิปไตยครึ่งใบ เต็มใบ วันนี้ก็ยังคงถูกซ่อนเร้นจากความเป็นสากล ทั้งเนื้อหา และรูปแบบของการจัดงานยังคงถูกควบคุมโดยรัฐบาล และบริษัทเอกชนที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณในการจัดงาน กรรมกรแทนที่จะภูมิใจในชนชั้นตน ในฐานะผู้สร้างโลก กลับปฏิเสธคำๆนี้ เลี่ยงไปใช้ว่า ผู้ใช้แรงงานแทน ไม่เท่านั้นยิ่งในยุคหลังรัฐประหาร 2549 ยุคที่สีเหลืองเฟื่องฟู ยุคที่รัฐบาลอำมาตย์เข่นฆ่าพี่น้องประชาชนบนท้องถนน ปล้นประชาธิปไตยและความยุติธรรมในสังคม ยุคที่พี่น้องเราต้องถูกคุมขังจองจำด้วยข้อหาลมๆแล้งๆ กรรมกรยุคนี้ต้องสวมใส่เสื้อสีเหลืองเอาใจอำมาตย์ในการเคลื่อนขบวนวัน เมย์เดย์ กรรมกรต้องใส่เสื้อสีชมพูกันสลอนในรัฐบาลที่แต่งตั้งมาโดยทหาร กรรมกรไทยต้องนำวันอันเป็นสากลไปผูกติดกับการยกย่องประมุขของประเทศ แทนการยกย่องกรรมกรผู้ใช้แรงงานด้วยกัน การรัฐประหารแต่ละครั้งทำให้ขบวนการกรรมกรหดเล็กลงๆ กรรมกรไม่มีศีกดิ์ศรีแม้แต่จะกำหนดวันของตนเอง



คงมีแต่พลังคนเสื้อแดงที่มีดวงตาสว่างไสวจะช่วยกันชุบชีวิต ฟื้นคืนการต่อสู้ร่วมกับกรรมกรฝ่ายก้าวหน้าให้วันกรรมกรกลับมามีคุณค่าและ ความหมายอีกครั้ง เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผดุงความยุติธรรม และรังสรรค์วัฒนธรรมของชาวกรรมาชีพต่อไป วันที่ 1 พฤษภานี้ขอเชิญกรรมกรแดงผู้รักประชาธิปไตยไปร่วมกันเดินขบวน แปดโมงเช้าที่ลานพระรูป
( พบกับเรื่องราวของ วันที่ 5 พฤษภา วันจิตร ภูมิศักดิ์ วันที่ 11 พฤษภา วันปรีดี พนมยงค์ 17 พฤษภา วันพฤษภาทมิฬ วันที่ 19 พฤษภา วันตาสว่าง ในนสพ.เลี้ยวซ้าย เดือนถัดไป )






(ที่มา) 
http://turnleftthai.blogspot.dk/2013/04/1.html 
         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น