สังคมนิยมคือประชาธิปไตยแท้ที่พึงปรารถนา 
สังคมนิยม
คือวิธีการจัดการบริหารสังคมมนุษย์โดยเน้นความร่วมมือกันระหว่างพลเมือง 
เน้นความสมานฉันท์และเน้นความเท่าเทียมกัน แทนที่จะเน้นการแย่งชิงกัน 
หรือการเอารัดเอาเปรียบกัน ตามระบบความคิด “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” 
ของทุนนิยมตลาดเสรี
 สังคมนิยมเป็นระบบที่ไม่มีชนชั้น คือไม่มีเจ้านายและผู้ถูกปกครอง 
ไม่มีคนส่วนน้อยที่ครอบครองทรัพยากรเกือบทั้งหมดในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี
อะไรนอกจากการทำงานเพื่อคนอื่น มันเป็นระบบที่ยกเลิกนายทุนและลูกจ้าง 
และที่สำคัญคือเป็นระบบที่มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ 
แทนที่จะถูกจำกัดอยู่ในกรอบ 
สังคมนิยมคือสภาพมนุษย์ที่เป็นปัจเจกเสรีในระดับสูงสุดผ่านกระบวนการร่วมมือ
กับทุกคนในสังคม
 ในระบบทุนนิยม ถ้าเรามีประชาธิปไตย มันก็แค่ประชาธิปไตยครึ่งใบเท่านั้น 
เพราะถึงแม้ว่าเราอาจมีโอกาสลงคะแนนเสียงเลือกรัฐบาล 
หรืออาจมีเสรีภาพในการแสดงออกบ้าง 
แต่เราไม่มีสิทธิ์ในการออกแบบและควบคุมเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจ การลงทุน 
และการผลิต ถูกควบคุมโดยนายทุนในรูปแบบการผูกขาดอำนาจ 
และเราไม่มีโอกาสร่วมในการปกครองตนเอง 
เพราะเรายังมีคนมาปกครองเราภายใต้ระบบชนชั้น ในระบบทุนนิยมนี้ 
แม้แต่ในประเทศที่ไม่มีกฏหมายเผด็จการแบบ 112
 ที่จำกัดเสรีภาพในการแสดงออก 
ก็ยังมีข้อจำกัดอื่นเช่นประเด็นว่าใครครองสื่อมวลชนเป็นต้น 
ดังนั้นสิทธิในการแสดงออกของคนธรรมดากับนายทุนสื่อต่างกันในรูปธรรม
 ในสังคมปัจจุบันเราไม่มีโอกาสเลือกว่าเราจะ “เป็นใคร” หรือ “เป็นอะไร” 
อย่างเสรี เพราะเราต้องไปหางานภายใต้เงื่อนไขนายทุน 
เด็กถูกแยกและคัดเลือกตั้งแต่อายุยังน้อย ว่าจะเป็น “ผู้ประสพความสำเร็จ” 
หรือเป็น “ผู้ไม่สำเร็จ” 
และเกือบทุกครั้งมันขึ้นอยู่กับว่าเด็กนั้นเกิดในตระกูลไหน 
มนุษย์จำนวนมากจึงไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ท่ามกลางความหลากหลายเลย
 ความ “เท่าเทียม” ของสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งเดียวกับ “ความเหมือนกัน” เพราะ
สังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนมีเสรีภาพที่จะเป็นปัจเจกเต็มที่ 
มันเปิดโอกาสให้เรามีนิสัยใจคอ วิถีชีวิต และรสนิยมตามใจชอบ 
แทนที่จะต้องแต่งเครื่องแบบ ถูกบังคับให้ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ 
และมีวิถีชีวิตในกรอบศีลธรรมและรสนิยมของชนชั้นปกครอง
 นักสังคมนิยมชื่อดัง เช่น คาร์ล มาร์คซ์ หรือ ลีออน ตรอทสกี้ 
เคยวาดภาพว่าภายใต้สังคมนิยมเราจะสามารถเป็นศิลปินหรือนักวิทยาศาสตร์ตอน
เช้า และเป็นช่างฝีมือหรือนักกิฬาตอนบ่ายได้ 
ชีวิตแบบนั้นจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานโดยสิ้นเชิง 
เพราะเดิมมนุษย์รักการทำงานที่สร้างสรรค์ แต่พอเราตกอยู่ในสังคมชนชั้น 
งานกลายเป็นเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อภายใต้คำสั่งของคนอื่น 
งานในระบบสังคมนิยมจะเป็นสิ่งที่เราอยากทำเพราะมันจะทำให้เรามีความสุขและ
รู้สึกว่าเรามีผลงานที่น่ายกย่อง แน่นอนงานบางอย่างคงไม่มีวันสนุก เช่นการซักผ้า เก็บขยะ 
หรือการทำความสะอาดส้วม แต่งานแบบนั้นเราใช้เครื่องจักรมาทำแทนได้บ้าง 
และที่ต้องอาศัยมนุษย์ก็ผลัดกันทำ 
ไม่ใช่ว่ามีบางคนในสังคมที่ต้องทำงานแบบนี้ตลอดชีพ
 สังคมนิยม
คือระบบที่เราร่วมกันผลิตสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ต้องการ 
และเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าว 
จะใช้ระบบการทำงานของทุกคนตามความสามารถของแต่ละคน 
แต่ในระบบทุนนิยมมันมีการผลิตเพื่อกำไรของนายทุนอย่างเดียว 
ดังนั้นเมื่อกำไรลดลง ก็จะเลิกผลิต ทั้งๆ ที่คนยังต้องการสินค้ามากมาย 
มันจึงเกิดวิกฤตแห่งการผลิต “ล้นเกิน” ท่ามกลางความอดอยากเสมอ 
ทุนนิยมนี้ไร้ประสิทธิภาพจริงๆ
 สังคมนิยมจะเป็นระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบทุนนิยม 
เพราะมีการวางแผนการผลิต ผ่านระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของพลเมือง 
ไม่ใช่นายทุนแข่งกันผลิตเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายจนเกิดการล่มจมและปิดโรงงานหรือ
เลิกจ้าง อย่างที่เราเห็นทั่วโลกตอนนี้ 
และสังคมนิยมจะไม่เปลืองทรัพยากรโดยการโฆษณาให้พลเมืองซื้อสิ่งที่ไม่ต้อง
การหรือไม่จำเป็น ยิ่งกว่านั้นถ้าเรากำจัดการแข่งขันแบบตลาด 
ซึ่งเป็นแค่ระบบ “ตัวใครตัวมัน” 
เราจะกำจัดความจำเป็นของการทำสงครามและประหยัดงบประมาณทหารมหาศาล 
การจัดการบริการประชาชนในปริมาณระดับคนหมู่มาก จะยิ่งประหยัดค่าใช้จ่ายอีก 
เรามั่นใจตรงนี้ได้เพราะระบบสาธารณสุขและการศึกษาแบบ “ถ้วนหน้า” 
ในระบบทุนนิยมที่มีรัฐสวัสดิการ 
เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการบริการประชาชนผ่านบริษัทเอกชนหลายบริษัท
 และพลเมืองจะสามารถควบคุมคุณภาพ 
และออกแบบระบบการบริการที่ต้องการได้อีกด้วย ผ่าน “สภาประชาชน” 
ในระดับที่ทำงาน ท้องถิ่น หรือภูมิภาค
 สภาประชาชนที่ว่านี้ เคยถูกออกแบบมาโดยคนทำงานธรรมดาในคอมมูนปารีส 
หรือหลังการปฏิวัติรัสเซีย 
มันเป็นสภาที่เราถอดถอนผู้แทนที่เราเลือกมาได้ทุกเมื่อ 
เพื่อควบคุมเขาอย่างเต็มที่ มันเป็นระบบที่มีเขตการเลือกตั้งในสถานที่ทำงาน
 เพื่อควบคุมทั้งเศรษฐกิจและการเมืองพร้อมๆ กัน 
และมันเป็นสภาที่ผู้แทนไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน ไม่กินเงินเดือนมากกว่าคนธรรมดา 
ต่างจากรัฐสภาในระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง
 ในระบบสังคมนิยมเราจะขยันลบล้างความคิดล้าหลังในหมู่พลเมือง 
ที่นำไปสู่การดูถูกสตรี เกย์ ทอม ดี้ คนต่างชาติ หรือคนกลุ่มน้อย 
และมนุษย์จะสามารถรักกันด้วยหัวใจ 
แทนที่จะรักกันภายใต้เงื่อนไขของเงินหรือศีลธรรมจอมปลอม
 ระบบทุนนิยมตีค่าสิ่งแวดล้อมในโลกไม่ได้ เพราะจะมองแค่กำไรเฉพาะหน้าเสมอ 
นี่คือสาเหตุที่สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ และเรามีปัญหาโลกร้อน 
และที่น่าสังเกตุคือคนที่คัดค้านการแก้ปัญหาโลกร้อนมากที่สุดในปัจจุบัน 
คือพวกกลุ่มทุนใหญ่และรัฐบาลของเขา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา 
ในระบบสังคมนิยมเราจะให้คุณค่ากับการปกป้องโลกรอบตัวเรา โดยไม่คิดเป็นเงินๆ
 ทองๆ และนอกจากนี้เราจะให้คุณค่ากับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน 
โดยไม่ตีเป็นราคาเงินบาทหรือดอลล่าเลย เพราะบางอย่างมันมีค่ามากกว่าเงิน
 คงจะมีคนล้าหลังหดหู่ที่พูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า “มันเป็นแค่ความฝัน มันอุดมการณ์เกินไป” แต่เรามีคำตอบหลายประการ 
 ในประการแรกสังคมนิยมไม่ใช่ “สวรรค์” 
เพราะมันจะไม่แก้ปัญหาทุกอย่างในสังคมมนุษย์ แต่มันจะเป็นการสร้างเสรีภาพ 
ความเท่าเทียม และความอยู่ดีกินดี เราคงต้องลองถูกลองผิดไปเรื่อยๆ 
แต่อย่างน้อยมันเป็นจุดเริ่มต้น
 ในประการที่สองสังคมนิยมสร้างขึ้นได้เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ ค่อยๆ 
เปลี่ยนความคิดจากความคิดคับแคบที่มาจากการกล่อมเกลาในระบบทุนนิยม 
นี่คือสาเหตุที่ คาร์ล มาร์คซ์ เสนอว่าเราต้องปฏิวัติ 
เพราะการปฏิวัติล้มรัฐนายทุน จะเป็นโอกาสทองที่เราจะร่วมกัน 
“ล้างขยะแห่งประวัติศาสตร์ออกจากหัวเรา”
 ในประการที่สาม เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์มนุษย์ 
ตั้งแต่เราวิวัฒนาการมาจากลิง 
เราจะพบว่าประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของเราเป็นประวัติของสังคมที่ไม่มีชนชั้น 
คือเราร่วมมือกันเต็มที่ ทุนนิยมเองก็พึ่งมีมาสองร้อยกว่าปีเอง 
ในขณะที่มนุษย์อยู่บนโลกมานานถึงสองแสนห้าหมื่นปี และแม้แต่ในสังคมปัจจุบัน
 เราก็เห็นตัวอย่างของการร่วมมือกันหรือความสมานฉันท์เสมอ 
สังคมนิยมใกล้เคียงกับ “ธรรมชาติมนุษย์” มากกว่าความเห็นแก่ตัวของทุนนิยม
 อย่างไรก็ตามสังคมบุพกาลที่ไม่มีชนชั้นในอดีต 
ล้วนแต่เป็นสังคมที่มีความขาดแคลน 
มันจึงเป็นสังคมเท่าเทียมท่ามกลางความยากจน 
แต่ปัจจุบันเรามีความสามารถที่จะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ทุกคน 
เพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีและสบายได้ 
สังคมนิยมจึงต้องอาศัยความก้าวหน้าที่เคยเกิดขึ้นในสังคมชนชั้น 
โดยเฉพาะระบบทุนนิยม แต่ทุนนิยมมันไม่ดีพอ 
เพราะมันไม่สามารถแจกจ่ายทรัพยากรให้ทุกคนได้ 
และมันเกิดวิกฤตและสงครามเป็นประจำ 
มันเหมือนกับว่ามนุษย์สร้างหัวจักรรถไฟที่มีพลังมหาศาลขึ้นมา 
แล้วขับรถไฟไม่เป็น เพราะคนขับคือนายทุนที่มีวัตถุประสงค์อื่น 
มันเลยตกรางเป็นประจำหรือชนกับรถไฟอื่น 
สังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนขับรถไฟได้อย่างปลอดภัย
 พวกล้าหลังจำนวนมากชอบพูดว่า “สังคมนิยมล้าสมัย” 
แต่ระบบทุนนิยมเก่ากว่าความคิดสังคมนิยม ถ้าอะไรล้าหลังก็คงต้องเป็นทุนนิยม
 
และยิ่งกว่านั้นการบูชาสังคมชนชั้นที่เต็มไปด้วยการกดขี่มันเป็นเรื่องโบราณ
และอดีต ในขณะที่การเสนอสังคมใหม่ที่เสรีและเท่าเทียมเป็นการมองอนาคต
 ในประการที่สี่ สังคมนิยมคือความใฝ่ฝันของมนุษย์ 
ซึ่งในอดีตมนุษย์ที่เป็นทาสเคยฝันว่าจะมีเสรีภาพ 
มนุษย์ที่เป็นไพร่เคยฝันว่าจะมีสิทธิ์เลือกตั้ง 
สตรีเคยฝันว่าจะเท่าเทียมกับชาย และสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นจริงในโลกเรา 
แต่ถ้าเรามัวแต่ฟังพวก “กาดำหดหู่” ที่บอกว่ามัน “อุดมกาณ์เกินไป” 
ความก้าวหน้าของสังคมมนุษย์ไม่มีวันเกิด
 ในประการที่ห้า 
สังคมนิยมคือเป้าหมายในจิตใจคนที่รักเสรีภาพและความเท่าเทียม 
แต่มันไม่เกิดง่ายๆ 
นักสังคมนิยมไม่เคยหลอกตัวเองว่าถ้านั่งอ่านหนังสือที่บ้านมันจะเกิดโดย
อัตโนมัติ เราต้องขยันสร้างเครื่องมือที่จะล้มอำนาจเผด็จการของรัฐทุนนิยม 
เพื่อสร้างรัฐใหม่ของคนทำงาน เครื่องมือนั้นคือพรรคปฏิวัติสังคมนิยม 
สหภาพแรงงาน และขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชน เราต้องมีสื่อของเรา 
เราต้องขยายสมาชิกพรรค เราต้องฝึกฝนการต่อสู้ซึ่งแน่นอนจะมีทั้งแพ้และชนะ 
มีทั้งการก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและถอยหลังสองก้าว
 ในประการที่หก สังคมนิยมคือระบบที่เน้นวิทยาศาสตร์และความคิด “วัตถุนิยม” 
ที่ติดดินและเป็นรูปธรรม แต่ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่เต็มไปด้วยไสยศาสตร์ 
และความเชื่อเพี้ยนๆ เช่นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของคนบางคน 
และมันเต็มไปด้วยการพยายามหลอกให้ประชาชนส่วนใหญ่กระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับ
ผลประโยชน์ของเขา เช่นการยอมรับการกดขี่ขูดรีด 
หรือการคลั่งชาติที่นำไปสู่การฆ่ากันเองของคนจนเป็นต้น 
ถึงแม้ว่าทุนนิยมเป็นระบบที่เคยถูกสร้างขึ้นมาบนความคิดวิทยาศาสตร์ 
แต่เนื่องจากมันเป็นระบบที่อำนาจอยู่ในมือคนส่วนน้อย 
การปกป้องทุนนิยมในยุคปัจจุบันกระทำบนพื้นฐานความเพ้อฝันและการหลอกลวง 
มันเป็นการฝันร้ายของมนุษย์
 นอกจากนี้จะมีคนที่คิดว่าตนเองเป็น “ผู้รู้” และมาบอกว่า 
“สังคมนิยมสร้างไม่ได้” เพราะมันล้มเหลวที่รัสเซีย ยุโรปตะวันออก เวียดนาม 
ลาว หรือจีน และแถมมันเป็นเผด็จการด้วย 
ใช่ระบบการปกครองและระบบเศรษฐกิจที่เคยมีหรือยังมีอยู่ในประเทศเหล่านั้น 
มันเป็นเผด็จการที่ไม่มีเสรีภาพ และยิ่งกว่านั้นมันไม่มีความเท่าเทียมด้วย 
มันเป็นระบบชนชั้นที่กดขี่ขูดรีดพลเมืองในนามของ “สังคมนิยม” 
โดยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเราวิเคราะห์ที่มาที่ไปของระบบเหล่านี้ 
จะพบว่ามันเกิดขึ้นครั้งแรกในรัสเซียบนความพ่ายแพ้และซากศพของการปฏิวัติ
หลังจากที่เลนินเสียชีวิต มันเป็นการสร้าง “ทุนนิยมโดยรัฐ” โดยสตาลิน 
และในประเทศอื่นๆ หลังจากนั้นก็ลอกแบบกันมา 
ในจีนมันเป็นการปฏิวัติชาตินิยมของพรรคเผด็จการ 
และถ้าเราเปรียบเทียบบางเรื่องที่เห็นในเกาหลีเหนือทุกวันนี้ 
เราจะพบว่าคล้ายๆ ทุนนิยมตลาดเสรีของประเทศไทยอีกด้วย การวิเคราะห์ว่าระบบ 
“สตาลิน-เหมา” ตรงข้ามกับสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งพบหลังมันล่มสลาย 
แต่เป็นการวิเคราะห์ของนักมาร์คซิสต์อย่าง ลีออน ตรอทสกี หรือโทนนี่ คลิฟ 
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
 บางคนอาจมองว่าไม่อยากปฏิวัติล้มทุนนิยม 
เขาจะ(เพ้อ)ฝันว่าทุนนิยมปฏิรูปให้น่ารักได้ 
เช่นการมีระบบรัฐสวัสดิการในสแกนดิเนเวียหรืออังกฤษเป็นต้น 
แต่เราต้องเปิดหูเปิดตาดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศเหล่านั้น 
เพราะวิกฤตของระบบทุนนิยมโลกในปัจจุบันกำลังกดดันให้รัฐบบาลทุกพรรคเอาใจนาย
ทุนเพื่อเพิ่มอัตรากำไร มันแปลว่ารัฐสวัสดิการกำลังถูกทำลายลง 
สภาพความเป็นอยู่ของพลเมืองแย่ลง 
และมีการชักชวนให้คนทำงานตีกันเองด้วยลัทธิเหยียดเชื้อชาติ 
จนในบางประเทศพรรคฟาสซิสต์ก็ขึ้นมามีบทบาทอีก 
เหมือนหลังวิกฤตที่เกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
(ที่มา)
http://redthaisocialist.com/2011-02-22-09-46-04/419-2013-06-12-06-38-44.html
 
  
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น