เราเป็นมนุษย์ก่อนจะมีศาสนา
โดย อ.สุรพศ ทวีศักดิ์
เรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องสมมติ แต่ผมคิดว่าอาจตรงกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมนี้ก็ได้
ครู
สอนวิชาพุทธศาสนาคนหนึ่ง
เธอเลี้ยงลูกสาวเพียงลำพังเนื่องจากสามีเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว
แม้เธอจะศึกษาคำสอนของพุทธศาสนามาพอสมควร
แต่เมื่อชะตาชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส
เธอกลับพบว่าพุทธศาสนาไม่ได้ช่วยอะไรได้มากอย่างที่คิด
ความ
ทุกข์แสนสาหัสที่เธอประสบคือ
ลูกสาวที่กำลังเรียนมัธยมปลายของเธอถูกคนงานกะเหรี่ยงขี้เมาข่มขืนและตั้ง
ครรภ์ หมอแนะนำว่ายังอยู่ในระยะที่สามารถทำแท้งได้
และในกรณีที่ตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืน กฎหมายก็อนุญาตให้ทำแท้งได้
แต่เธอและลูกบอกหมอว่าขอเวลาคิดดูก่อน
ใน
ห้วงเวลาแห่งความทุกข์ของสองแม่ลูก
เธอต้องการคำอธิบายทางศีลธรรมเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับปัญหา
นี้ต่อไป จึงไปขอคำปรึกษาจากพระที่เธอเคยเห็นท่านเทศน์ออกทีวีบ่อยๆ
แต่คำตอบที่ได้รับคือ...
“...การ
ทำแท้งเป็นบาปแน่นอน จะว่าไปแล้วมันเป็นผลกรรมเก่า
ลูกสาวโยมอาจจะไปทำกรรมอะไรไว้ในชาติก่อน ชาตินี้จึงทำให้ถูกข่มขืน
ถ้าเราไปทำแท้งอาจทำให้ต้องจองเวรจองกรรมไม่สิ้นสุด
แต่ถ้ายอมรับถือว่าใช้กรรมเก่าไป ไม่ทำแท้ง ไม่ทำบาปใหม่อีก
กรรมนี้ก็จะสิ้นสุด ...พอดีอาตมามีงานยุ่ง ต้องขอตัวก่อน
หากโยมยังไม่เข้าใจ ให้ซื้อซีดีที่อาตมาเทศน์ออกทีวีไปเปิดฟังก็ได้
อาตมาอธิบายไว้ละเอียดแล้ว จะได้เข้าใจจนหมดสงสัย”
เธอ
กราบลาหลวงพ่อด้วยความรู้สึกผิดหวัง ไม่ได้ซื้อซีดี
และรู้สึกตำหนิตัวเองที่ตัดสินใจมาหาพระรูปนี้
ระหว่างนั้นเธอนึกถึงครูสอนวิชาพุทธศาสนาที่โรงเรียนเดียวกันคนหนึ่งอดีตเคย
บวชเรียนมา เธอจึงชวนเขามาทานข้าวเย็นที่บ้าน และเล่าเรื่องดังกล่าวให้ฟัง
คำแรกที่อดีตมหาเปรียญพูดขึ้น คือ
“พี่
ไม่น่าไปหาพระรูปนั้นเลย...ปัญหานี้มันเป็นความทุกข์ร่วมกันของพี่กับลูกสาว
พี่กับลูกสาวต้องตัดสินใจเอง
แต่ต้องเอาความเชื่อทางศีลธรรมที่พระรูปนั้นสอนออกไปจากจิตใจก่อน”
“ตามหลักศีลธรรมของพุทธศาสนา การทำแท้งเป็นปาณาติบาตมิใช่หรือ มันเป็นบาปมิใช่หรือ” เธอถามเสียงดัง!
“ใช่
ครับ พระสอนอย่างนั้น คัมภีร์ทางศาสนาสอนอย่างนั้น
แต่เรามีสิทธิ์ที่จะเชื่อหรือไม่ก็ได้มิใช่หรือ...ที่จริงศาสนามาทีหลัง
มนุษย์ ในยุคที่ยังไม่มีศาสนานามนุษย์ก็ยังดำรงชีวิตอยู่ได้
แม้ปัจจุบันบางคนเขาไม่นับถือศาสนาอะไรเขาก็มีชีวิตที่ดีงามได้
ศาสนาเกิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาบางอย่างของมนุษย์
ศาสนาไม่ใช่เครื่องมือแก้ปัญหาทุกอย่าง
หรือมีคำตอบสำเร็จรูปให้กับทุมิติของชีวิตเรา”
ท่านมหาเล่าต่อว่า
“...ผม
คิดว่าศีลธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน
ไม่ใช่กฎระเบียบแข็งทื่อสำหรับนำมากล่าวอ้างเพื่อตัดสินการกระทำ
หรือข่มขู่ป้องปรามให้คนกลัวหรือรู้สึกผิดที่จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
ศีลธรรมของพุทธศาสนาต้องอธิบายได้ด้วยเหตุผล
ปาณาติบาต
ที่เป็นบาป ต้องเป็นการฆ่าจากความโกรธ ความเกลียดชัง ความลุ่มหลง
หรือความมัวเมาในอำนาจ เช่น สั่งฆ่าประชาชนที่เรียกร้องเสรีภาพ เป็นต้น
แต่
ในบางกรณี เช่น ม้าขาหักในทะเลทรายไม่สามารถเดินต่อไปได้
มันดิ้นทุรนทุรายเจ็บปวดด้วยความทุกข์ทรมาน
เจ้าของม้าตัดสินใจยิงม้าตายด้วยความสงสาร มันย่อมไม่ใช่การทำบาปที่ร้ายแรง
เหมือนปาณาติบาตที่ฆ่าประชาชนเพราะหลงอำนาจ…
โดย
ความเป็นมนุษย์เราทุกคนย่อมรักตัวเองและปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีที่สุดเท่า
ที่จะเป็นไปได้ หากลูกสาวพี่ตัดสินใจทำแท้ง
พี่และลูกสาวอาจเจ็บปวดเพราะรู้สึกผิดในทางศีลธรรมตามที่ถูกปลูกฝังมา
แต่พี่ลองคิดดูพุทธศาสนาสอนให้เรามองความจริงของชีวิตคือความทุกข์ และให้เราจัดการกับความทุกข์ในชีวิตเราอย่างเหมาะสม
เวลานี้พี่กับลูกสาวประสบทุกข์ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น มันยุติธรรมแล้วหรือหากเราต้องยอมจำนนต่อความทุกข์โดยข้ออ้างเรื่อง “กรรมเก่า”
ที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ แม้แต่พระที่สอนท่านจะเชื่อตามที่ตัวเองสอนจริงๆ
หรือเปล่ายังไม่รู้เลย ลูกสาวของพี่ยังต้องเรียนหนังสือ มีการศึกษา มีงานทำ
เธอยังมีโอกาสจะพบผู้ชายดีๆ มีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกที่น่ารัก
มีชีวิตที่ปกติสุขเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
แต่
หากไม่ยอมทำแท้ง เพียงเพราะเหตุผลว่าสมควรชดใช้กรรมเก่า
ยอมแบกความทุกข์ที่ตนเองไม่ได้ก่อขึ้นเอาไว้ตลอดชีวิต
ผมก็ไม่แน่ใจว่านี่เป็นวิธีการจัดการกับความทุกข์อย่างเหมาะสมตามคำสอนที่
แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่
มี
หลายเรื่องครับที่ผมเองก็อดสงสัยไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมพุทธ
บ้านเรา เช่น มติมหาเถรสมาคม (มส.)
ห้ามนักเรียนมุสลิมคลุมญิฮาบเข้าไปในโรงเรียนวัด ห้ามตัดคำว่า “วัด”
ออกจากชื่อโรงเรียน
หรือมีชาวพุทธมาเรียกร้องรัฐบาลห้ามออกกฎหมายอนุญาตทำแท้ง
ห้ามมีหวยถูกกฎหมาย ฯลฯ เพราะอ้างว่าผิดศีลธรรมทางพุทธศาสนา
ผม
คิดว่า ถ้าบังเอิญพระพุทธเจ้ามาพบปรากฏการณ์ดังกล่าว พระองค์คงไม่เห็นด้วย
พระพุทธเจ้าจำพรรษาอยู่แคว้นโกศลกว่า 20 พรรษา
สนิทสนมกับพระเจ้าปเสนทิโกศลมาก
แต่พระองค์ไม่เคยเสนอให้บัญญัติไว้ในกฎมณเฑียรบาลว่า “ผู้ที่เป็นกษัตริย์จะต้องเป็นพุทธมามกะ”
พระพุทธเจ้าไม่ต้องการเสนอ “ศีลธรรมบังคับ” แต่เป็น “ศีลธรรมเหตุผล” ชี้เหตุชี้ผลให้คนฟังเข้าใจ แล้วแต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ “ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกทาง ส่วนเรื่องเดินทางเป็นอิสระของแต่ละบุคคล”
ผม
คิดว่าศีลธรรมแบบให้ยอมจำนนต่อความทุกข์อย่างไร้เหตุผล
เช่นข้ออ้างเรื่องกรรมเก่า
หรือการอ้างศีลธรรมทางพุทธศาสนาเพื่อกดดันหรือบีบบังคับให้ออกหรือไม่ออก
กฎหมายให้ประชาชนปฏิบัติ ไม่น่าจะตรงกับเจตนาในการสอนศีลธรรมของพระพุทธเจ้า
หลัก
กาลามสูตรนั่นไงครับ
คือหลักที่สอนให้เรามีอิสระอย่างเต็มที่ในการตัดสินถูกผิดด้วยตนเอง
ยิ่งเมื่อพิจารณาตามหลักอริยสัจ 4 ยิ่งชัดว่า ตัวเราแต่ละคนคือผู้ที่จะเข้าใจความทุกข์ของตนเองได้ดีที่สุด และสามารถจัดการกับความทุกข์นั้นได้ด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุด
ผม
คิดว่า
พี่กับลูกสาวควรนึกถึงตนเองในฐานะที่เป็นมนุษย์ผู้ปรารถนาการมีชีวิตที่ดี
ให้มากที่สุด นึกถึงความทุกข์ของตนเองเป็นตัวตั้ง
หาทางแก้ทุกข์นั้นด้วยวิถีทางที่...คือหากมันหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดไม่ได้ เราย่อมมีความชอบธรรมที่จะเลือกวิถีทางที่มันเกิดความเจ็บปวดกับตนเองและคนอื่นให้น้อยที่สุด...”
ผมขอจบเรื่องเล่าห้วนๆ แบบนี้แหละ สวัสดีสังคมพุทธไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข!
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2011/03/33462
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2011/03/33462
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น