การฟื้นตัวของขบวนการแรงงานอียิปต์
โดย กองบรรณาธิการ
นสพ. เลี้ยวซ้าย
ขบวน
การแรงงานอียิปต์เริ่มลุกขึ้นต่อสู้เมื่อมีคลื่นการนัดหยุดงานใหญ่เกิดขึ้น
ในปี 2006 แนวหน้าในยุคนั้นคือคนงานสิ่งทอ
แต่ในไม่ช้ามีคนงานท่าเรือและขนส่ง และพนักงานปกคอขาว
เช่นเจ้าหน้าที่สรรพากร ร่วมนัดหยุดงานด้วย
คลื่นการนัดหยุดงานนี้มาจากความไม่พอใจในนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดที่เผด็จการ
มูบารักใช้มานาน
และห้าปีหลังจากนั้นมัน
เป็นองค์ประกอบสำคัญในกระแสปฏิวัติที่สามารถล้มมูบารักในปี 2011
เพราะสาเหตุสำคัญที่กองทัพอียิปต์ปลดมูบารักออกจากตำแหน่ง
ก็เพราะมีการนัดหยุดงานทั่วไปเกิดขึ้น และกองทัพมองว่าถ้าไม่รีบออกมา
ชนชั้นกรรมาชีพจะลุกขึ้นยึดประเทศและทำลายอำนาจชนชั้นปกครองเก่ารวมถึงผล
ประโยชน์การเมืองและธุรกิจของกองทัพด้วย
ในปี 2012 หลังจากที่มูบารักถูกล้ม
และประธานาธิบดีมูรซี่ชนะการเลือกตั้ง กระแสนัดหยุดงานพุ่งขึ้นอีก
เพราะรัฐบาลพรรคมุสลิมยังคงใช้นโยบายกลไกตลาดเสรีและจับมือกับองค์กรไอเอ็ม
เอฟ ซึ่งมีผลในการขยายความเหลื่อมล้ำและไม่แก้ปัญหาว่างงานเลย
นอกจากนี้รัฐบาลพรรคมุสลิมเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของคนงานในอดีตรัฐวิสาหกิจ
ที่ถูกขายให้นายทุนเพื่อนฝูงของมูบารัก
บ่อยครั้งศาลตัดสินให้คืนกิจการเหล่านั้นให้ภาครัฐ แต่มูรซี่ไม่ทำอะไร
“ศูนย์สิทธิเศรษฐศาสตร์และสังคมอียิปต์”
คาดว่าในช่วงรัฐบาลใหม่ปี 2012 มีการนัดหยุดงานประมาณสามพันครั้ง
และในสามเดือนแรกของปี 2013 มีการนัดหยุดงาน 2,400 ครั้ง
ซึ่งทำให้เราเห็นชัดว่ากระแสนัดหยุดงานมีความสำคัญในการล้มมูรซี่ด้วย
และไปควบคู่กับการออกมาชุมนุมของมวลชน 17 ล้านคน
การต่อสู้ของกรรมาชีพคนทำงาน
ประกอบไปด้วยการนัดหยุดงานและการยึดสถานที่ทำงานด้วย และครอบคลุมถึง คนงานขนส่งรวมถึงรถไฟ
สนามบิน คลองซูเอส และท่าเรือ นอกจากนี้มีการนัดหยุดงานในภาคอุตสาหกรรม ปูนซีเมน
และภาคบริการ แม้แต่กองกำลังตำรวจปราบจลาลจล
ที่ประกอบไปด้วยคนจนที่ถูกเกณฑ์มาจากชนบท ก็เริ่มออกมาประท้วงรัฐบาล
ท่ามกลางกระแสการต่อสู้แบบนี้
มีการก่อตั้งสภาแรงงานใหม่ที่อิสระจากรัฐ
เพราะในสมัยเผด็จการมูบารักรัฐควบคุมสภาแรงงานอย่างเบ็ดเสร็จ
ในขณะเดียวกันมีการสร้างเครือข่ายแรงงานในรูปแบบกลุ่มย่านอุตสาหกรรม
เพื่อประสานงานการต่อสู้ ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ในระดับรากหญ้า กลุ่มย่านแบบนี้ถูกสร้างขึ้นในซูเอส
และซาดัดซิตตี้
ถึงแม้ว่าการก่อตั้งสภาแรงงานอิสระเป็นก้าวสำคัญ
แต่สองรูปแบบการจัดตั้ง คือสภาแรงงานอิสระ กับเครือข่ายกลุ่มย่าน
เริ่มขัดแย้งและสวนทางกัน เพราะสภาแรงงานมักหันมาเน้นผลประโยชน์ของสภาและประเด็นเศรษฐกิจ
ผู้นำก็เริ่มมีลักษณะ “ข้าราชการ” ด้วย
แต่เครือข่ายกลุ่มย่านนำโดยคนงานรากหญ้าและผสมประเด็นการเมืองกับเรื่องปากท้อง เข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ผู้นำแรงงานในสภาอิสระเริ่มหลงรักองค์กรแรงงานสากล เช่น ITUC, AFL-CIO
และองค์กรแรงงานยุโรป นักเคลื่อนไหวแรงงานผู้หนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “เราไม่ต้องการให้องค์กรแรงงานสากลเข้ามาเชิญผู้นำแรงงานของเราไปสัมมนาต่างประเทศ
เพราะเราต้องการสร้างขบวนการแรงงานรากหญ้าที่เข้มแข็ง ไม่ใช่สร้างผู้นำข้าราชการ”
(ข้อมูลจาก Egypt: The Workers Advance. โดย Philip Marfleet ใน International Socialism Journal, Summer 2013)
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น