เสียงจากชายแดนใต้: เมื่อทหารเดินเข้าร้านหนังสือ
ช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2556
ขณะที่ผู้เขียนกำลังพูดคุยกับลูกค้าซึ่งกำลังชำระเงินค่าหนังสือและยังไม่
ทันเดินออกจากร้าน ก็ปรากฏว่ามีทหารสามนายเดินเข้ามาในร้าน
นายหนึ่งถืออาวุธปืนประจำกายยืนอยู่ตรงทางเข้า
อีกนายไม่พูดพร่ำทำเพลงยกกล้องขึ้นถ่ายรูปภายในร้าน
และอีกนายหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าชุดเดินเข้ามาสำรวจเมื่อพิจารณาแล้วว่าทหารกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการซื้อหนังสือหรือสั่ง เครื่องดื่ม จึงได้สอบถามว่ามาทำอะไรและต้องการอะไร ได้คำตอบว่ามาขอข้อมูล ผู้เขียนรู้สึกไม่สบายใจที่มีทหารถือปืนมายืนอยู่ในร้านและคิดว่านี่ไม่ใช่ การมาแบบปกติ จึงได้บอกกับหัวหน้าชุดให้นำทหารที่ยืนถือปืนตรงทางเดินออกไปข้างนอก เพราะร้านหนังสือเป็นเขตปลอดอาวุธ ไม่ควรจะมีใครมายืนถือปืนอยู่แบบนี้ และลูกค้าจะไม่กล้าเข้ามาเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในร้าน
หัวหน้าชุดจึงรีบสั่งลูกน้องให้ออกไปรอข้างนอก ผู้เขียนได้ตำหนิเจ้าหน้าที่ทหารที่ยังถ่ายรูปในร้านไม่หยุด ว่าทำไมถึงไม่ขออนุญาตก่อน อยู่ๆมายืนถ่ายรูปในร้านแบบนี้ ลูกค้าที่เพิ่งออกไปจะรู้สึกอย่างไร คงสงสัยว่าทำไมร้านหนังสือจึงมีเจ้าหน้าที่ทหารมาถ่ายรูป ยืนถือปืนเฝ้าหน้าร้าน
ที่สำคัญคือผู้เขียนรู้สึกว่านี่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ที่ไม่ถูกต้อง นายทหารที่เป็นหัวหน้าจึงสั่งให้ลูกน้องหยุดถ่ายรูป และให้ออกไปยืนรอหน้าร้าน ผู้เขียนได้เชื้อเชิญให้นายทหารผู้เป็นหัวหน้านั่งลงคุยกันถึงจุดประสงค์ใน การเข้ามาที่ร้าน โดยมีหุ้นส่วนอีกคนมาร่วมสมทบด้วย เราใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงพูดคุยกันในหลายประเด็น
เริ่มต้น ผู้เขียนไม่รีรอที่จะสะท้อนความรู้สึกตกใจ ไม่สบายใจ และไม่ไว้วางใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากไม่ได้มีการชี้แจงวัตถุประสงค์ใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวมเครื่องแบบทหารพร้อมอาวุธปืนและการถ่ายรูปโดยไม่ได้ ขออนุญาต ได้รับคำตอบว่า เป็นการมาทำงานตามหน้าที่ เนื่องจากบริเวณนี้เป็นพื้นที่ในการดูแล เขาได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้มาที่ร้านหนังสือ ดูว่าใครเป็นเจ้าของร้าน ร้านตั้งอยู่ตรงไหน มีสภาพอย่างไร และจำเป็นต้องมีภาพถ่ายเป็นหลักฐานว่าได้มาทำงานตามคำสั่ง
ตั้งแต่เปิดร้านหนังสือบูคูมาเกือบสองปี จากที่ตั้งร้านเก่าจนย้ายมาตั้งร้านใหม่ในที่ปัจจุบันยังไม่เคยมีเจ้า หน้าที่ทหารเข้ามาสอบถามในลักษณะเดียวกันนี้หรือมาซื้อหนังสือที่ร้านเลย (เว้นแต่ในการจัดเสวนาครั้งหนึ่งมีนายทหารที่ทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมได้ รับเชิญมาร่วมเสวนาด้วย และก็ได้ขอชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของเราไปเรียบร้อยแล้ว) เหตุใดในวันนี้จึงนึกอยากจะมา ตั้งใจมาขอข้อมูลส่วนตัวและเป็นทางการ มีการขอถ่ายรูปบัตรประชาชนหรือบัตรข้าราชการ แต่ผู้เขียนยืนยันที่จะไม่ให้ เพราะบัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารสำคัญทางราชการ ไม่ทราบว่าจะนำไปทำไม เพื่ออะไร จะขอถ่ายรูปโดยไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร คงไม่สามารถให้ไปได้ แต่ยินดีที่จะให้นามบัตรซึ่งมีรายละเอียด ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ครบถ้วนสำหรับติดต่อได้
นายทหารหัวหน้าชุดได้กล่าวขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอธิบายถึงการทำงานที่ยากลำบากของเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการซึ่งไม่ สามารถขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้ แม้ในบางครั้งอาจไม่เห็นด้วยกับคำสั่งก็ตาม เมื่อได้รับคำสั่งก็ต้องปฏิบัติ แม้จะรู้ว่าการกระทำลักษณะนั้นอาจนำมาซึ่งปัญหาและทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ สบายใจ โดยเฉพาะชาวมลายูมุสลิมที่มักตกเป็นเป้าหมายในการตรวจค้นหรือการเข้าไปขอ ข้อมูล
เมื่อได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ เขาก็ยอมรับว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่มีปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะการเข้าไปขอข้อมูล ซึ่งบ่อยครั้งเกิดการสื่อสารที่ผิดพลาดจากการขาดทักษะ เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการหรือทหารชั้นผู้น้อยไม่ได้ถูกฝึกมาให้ทำงานใน ลักษณะนี้แต่ชำนาญด้านการรบมากกว่า
การเข้ามาขอข้อมูลของเจ้าหน้าที่ เป็นการมาแบบไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลย นายทหารท่านนั้นยอมรับว่าไม่เคยรู้จักร้านหนังสือบูคูมาก่อน ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ นึกว่าร้านนี้เป็นของคนมลายู เคยผ่านหน้าร้านหลายครั้งแต่ไม่นึกว่าจะเข้ามา เมื่อผู้เขียนเล่าว่าตนเองไม่ใช่คนมลายู ไม่ใช่แม้แต่คนในสามจังหวัด แต่เป็นคนที่มาจากที่อื่น หุ้นส่วนอีกคนก็เช่นเดียวกัน เมื่อทราบว่าเราทั้งคู่เป็นใคร บรรยากาศก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผู้เขียนได้สะท้อนกลับไปว่า เราทั้งคู่ทราบดีถึงข้อจำกัดในพื้นที่ ความขัดแย้งและความหวาดระแวงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน ผู้เขียนเองก็มีญาติเป็นเจ้าหน้าที่ทหารชุดเก็บกู้ระเบิดอยู่ที่ปัตตานี และในขณะเดียวกันก็มีเพื่อนๆพี่น้องที่เป็นชาวมลายูที่ได้รับผลกระทบและมี ความคับข้องใจต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มสื่อมวลชน นักกิจกรรม นักศึกษา นักวิชาการ ซึ่งล้วนแต่เป็นลูกค้าของร้านหนังสือ หลายครั้งที่มีโอกาสสะท้อนเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการให้ นายทหารระดับสูงบางท่านได้รับทราบ แต่ดูเหมือนการทำงานก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร
ร้านหนังสือเป็นพื้นที่เปิด ใครๆก็สามารถเดินเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย มลายู พุทธ มุสลิม หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เราไม่เคยกีดกันเจ้าหน้าที่ทหารไม่ให้เข้ามาซื้อหนังสือ มาร่วมงานเสวนา หรือมานั่งดื่มกาแฟ
แต่หากเป็นการมาด้วยท่าทีคุกคาม พกอาวุธปืนเข้ามาภายในร้าน ผู้เขียนก็เห็นว่าไม่เหมาะสมเนื่องจากอาจเป็นการรบกวนลูกค้าคนอื่นๆและทำให้ เกิดความหวาดกลัวกับลูกค้าได้ หากจะมา ขอให้มานอกเครื่องแบบหรือปลดอาวุธปืนก่อนเข้ามาภายในบริเวณร้าน เพราะลูกค้าที่ร้านทุกคนล้วนมากันตัวเปล่า ไม่มีใครถืออาวุธเข้ามาซื้อหนังสือกันสักคน
ร้านหนังสือเป็นพื้นที่ของความรู้ เราติดอาวุธกันที่สมอง เราต่อสู้กันที่ปัญญา เราไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ถือปืน ไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร มีความเชื่อทางศาสนาแบบไหน เราเปิดพื้นที่ให้กับทุกคนทุกฝ่าย และจะยินดีอย่างยิ่ง หากเจ้าหน้าที่ทหารจะเข้ามาหาซื้อหนังสือไปอ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับความ คิดความรู้สึกของคนในพื้นที่บ้าง อาจพบแนวทางปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ข้อสังเกตของผู้เขียนคือ
1) ร้านค้าและประชาชนในสามจังหวัดฯ จำเป็นต้องถูกตรวจสอบข้อมูลในลักษณะเช่นนี้หรือไม่?
2) ผู้เขียนเคยให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์เกี่ยวกับ ร้านหนังสือบูคูหลายครั้ง
ทั้งยังมีเว็บไซต์ และเฟสบุ๊กของร้าน ภาพถ่ายในร้านหรือข้อมูลต่างๆจึงไม่ได้เป็นความลับอะไร สามารถตรวจสอบได้ไม่ยากเลย เหตุใดฝ่ายความมั่นคงจึงต้องใช้วิธีสวมเครื่องแบบพร้อมอาวุธ เข้ามาถ่ายรูปและขอถ่ายบัตรประชาชน เพื่อจะทราบว่าเจ้าของร้านเป็นใคร และในร้านมีสภาพอย่างไร?
3) ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการก็ทราบดีว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ มีปัญหา แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการทำงานหรือแก้ไขได้ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องของนโยบายหรือคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ดังนั้นการกระทำผิดแบบซ้ำซากก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนบางส่วนรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกถูกคุกคามและไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ด้วยเหตุจากวิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่นั่นเอง?
4) หากร้านหนังสือบูคูเป็นร้านหนังสือที่มีคนนายูเป็นเจ้าของ หากผู้เขียนเป็นชาวมลายูมุสลิม เราจะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากนี้หรือไม่ หากหุ้นส่วนของผู้เขียนมิใช่อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย เสียงของเราทั้งคู่จะถูกรับฟังจากเจ้าหน้าที่ท่านนั้นหรือไม่?
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าร้านหนังสือบูคูจะถูกเพ่งเล็งหรือถูกจับตามองจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่าง ไรหรือในแง่มุมไหนก็ตามเรายังคงยืนยันในความบริสุทธิ์ใจและยืนยันที่จะเปิด พื้นที่ในร้านหนังสือเพื่อแลกเปลี่ยนทางความคิดทางปัญญาสำหรับทุกคนทุกฝ่าย ต่อไป และหวังว่าบรรยากาศแห่งความหวาดระแวงซึ่งกันและกันจะหมดไปได้ในวันหนึ่ง
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2013/10/49309
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น