"คุกเข่าลง" บทความจากนิตยสาร Spiegel ว่าด้วยระบบโซตัสในไทย
นิตยสารแดร์ ชปีเกล ของเยอรมนี
รายงานการรับน้องและระบบโซตัสที่ยังคงแพร่หลายในสังคมไทย
บทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญเยอรมันชี้ระบบนี้ดำรงอยู่ได้โดยเฉพาะในประเทศที่มี
โครงสร้างสังคมแบบแบ่งชนชั้นที่ชัดเจน
รูปภาพที่ค่อนข้างพร่ามัว
ทำให้หวนนึกถึงคลิปวิดีโอที่แอบถ่ายการทารุณกรรมแบบลับ ๆ
ในคุกหรือสถานที่กักกันแห่งใดแห่งหนึ่ง
ในภาพปรากฏรูปชายหนุ่มหลายคนที่ก้มหน้าลงกับพื้น
เขาเหล่านี้ต้องวิ่งยามค่ำคืน แม้เขาจะหมดเรี่ยวแรงแล้วก็ตาม
เขาถูกกลุ่มรุ่นพี่ที่ยืนรายล้อมรอบตัวพวกเขา
ตะโกนใส่หน้าและขู่ตะคอกด้วยเสียงอันดัง
ในคลิปวีดีโอยังปรากฏภาพชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพที่อ่อนล้าหมด
แรง “เขาต่อยท้อง และตบหัวผม” ชายหนุ่มคนเดิมกล่าว “เขาบอกว่า
ยังมีหนักกว่านี้อีกหลายเท่า” ด้วยความอาย
เด็กหนุ่มจึงเอาหมอนมาปกปิดใบหน้า
คลิปวีดีโอดังกล่าวถ่ายมาจาก ม.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ประเทศไทย
โดยมีนักศึกษาคนหนึ่ง ถ่ายวีดีโอการรับน้องของเด็ก ปี 1 ที่เข้าใหม่
เขาต้องการพิสูจน์ว่าประเพณีการรรับน้องซึ่งเรียกว่า “โซตัส”
บางครั้งมันกลายเป็นเรื่องบานปลายได้
และโลกควรจะได้รับรู้ว่าหลายครั้งหลายหนการปฏิบัติตามประเพณีที่สืบทอดกัน
มามันก็ไม่ใช่เรื่องของความสนุกสนาน
แต่เป็นเรื่องของการใช้อำนาจและการดูหมิ่นเหยียดหยาม
เหตุการณ์การรับน้องที่ขยายความรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมได้ไม่ได้เกิด
ขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่รวมถึงมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส
อินเดีย และบราซิลด้วย ในประเทศเยอรมนี หลายประเพณีได้ถูกล้มเลิกไป
ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นประเพณีที่เกิดจากการกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่พยายามทดสอบ
เด็กที่เข้ามาใหม่
ซึ่งท้ายที่สุดมักจะนำไปสู่การยัดเหยียดให้เด็กใหม่ดื่มเบียร์
และยังมีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเปิดเทอมแต่ไม่เคยได้รับการเปิดเผย
สู่สาธารณชน แต่ Hank Nuwer จาก Franklin College มลรัฐ Indiana ทราบดีว่า
หลายครั้งกิจกรรมเหล่านั้นมันเป็น “การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง”
ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งซึ่งได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นระยะเวลา
กว่า 30 ปี
ได้ข้อสรุปว่า“ปัญหาเกิดขึ้นจากการที่กลุ่มที่เป็นสมาชิกเก่าอาศัยความระส่ำ
ระส่ายในจิตใจของเหล่าสมาชิกใหม่เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอำนาจและสถานะอัน
ชอบธรรมให้ตนเอง น่าเศร้าที่ว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์”
สมาชิกเก่าเริ่มเข้าหาสมาชิกใหม่ด้วยวิธีการรุนแรง
แล้วสมาชิกคนอื่นก็ทำตามกันไป สุดท้ายทุกคนก็ทำตามกันไปหมดแบบเดียวกัน
และคนเหล่านี้เริ่มเรียกร้องให้เด็กใหม่ทำในหลายสิ่งหลายอย่าง
ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขาไม่เคยคิดจะบังคับให้ใครทำแบบนี้อย่างแน่นอน
แล้วทำไมเด็กใหม่จึงยอมให้คนเหล่านี้ทำกับตัวเอง? ทำไมไม่พยายามหลบหนี
แต่กลับปฏิบัติตามคำสั่งเหล่านั้นอย่างเชื่อฟัง? ตอนแรกคงเป็นเพราะ
ไม่อยากให้ตนเองเป็นต้นเหตุให้เกมส์ต้องหมดสนุกลง
แต่ต่อมาคงเกิดความรู้สึกอับอายขายหน้าและหวาดกลัวที่จะขัดคำสั่งของรุ่นพี่
บางครั้งก็เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างประเพณีรับน้อง
มีความใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Stanford-Prison-Experiment ในปี
1971 ตามข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลก ขณะนั้นมีนักศึกษา 24 คน
ถูกบังคับให้เล่นเกมส์ติดคุก โดยวางแผนให้เล่นกันในเวลา 2 สัปดาห์
แต่หลังจากเริ่มต้นเล่นได้เพียง 6 วัน เกมส์ดังกล่าวก็ต้องยุติลง
เพราะเหตุเกิดจาก “ผู้คุม” ใช้อำนาจในทางที่ผิด
ถ้าขืนยังปล่อยให้การทดลองดำเนินต่อไป
คงต้องมีการเสียชีวิตเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
การดูหมิ่นเหยียดหยามเด็กปี 1 เป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมายาวนาน
ส่วนรุ่นพี่ก็สามารถคิดหาวิธีการใหม่ ๆ มาใช้ในการรับน้องได้เสมอ
ในประเทศอเมริกา
นักศึกษาที่ต้องการจะเข้าเป็นสมาชิกใหม่ในกลุ่มจะถูกบังคับให้กิน Vomlets:
ไข่เจียวที่ผสมอ๊วก ในประเทศบราซิล
นักศึกษาเข้าใหม่จะต้องกลิ้งตัวคลุกไปกับโคลนผสมอุจจาระและซากสัตว์ที่เหม็น
เน่า และที่ประเทศฟิลิปปินส์มักมีการชกต่อยกันอยู่เสมอๆ
“วิธีการรับน้อง ส่วนหนึ่งคือกระจกสะท้อนสังคม” Nuwer นักวิจัยกล่าว
หลังจากเกิดข่าวครึกโครมในประเทศอเมริกาว่า
กองทัพได้กระทำการทารุณกรรมนักโทษที่ Abu Ghuraib และที่อื่นด้วยวิธี
Waterboarding (การจับกดน้ำ)
ปรากฏว่ามีนักศึกษานำเอาพฤติกรรมดังกล่าวไปเลียนแบบ
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่
บางครั้งประเพณีเหล่านี้จบลงอย่างโหดร้าย
ในประเทศไทยมีนักศึกษาบาดเจ็บจากการถูกไฟลวก 4 ราย
เนื่องจากถูกบังคับให้กลิ้งตัวบนกองไฟที่ยังไม่มอดดับจากการนำทรายมากลบ
หลายครั้งที่การทำกิจกรรมลักษณะนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต
แต่มักจะถูกบันทึกสาเหตุการตายจากอุบัติเหตุเนื่องจากดื่มแอลกอฮอลล์เกิน
ขนาด
ประเพณีเหล่านี้จะสามารถได้รับการสืบทอดและดำรงอยู่ได้โดยเฉพาะใน
ประเทศที่มีโครงสร้างสังคมแบบแบ่งชนชั้นอย่างเช่น ประเทศไทยเป็นต้น นาย
สมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน
ได้กล่าวในงานแห่งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ว่า
“ในประเทศนี้การตั้งคำถามกับความเห็นของผู้อาวุโสกว่าหรือกับผู้ปกครองถือ
เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โรงเรียนของเรา
มหาวิทยาลัยของเราเป็นระบบที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างคุกและนรก
สถาบันการศึกษาหลายแห่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิตหุ่นยนต์”
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านประเพณีรับน้อง “ระบบโซตัส”
ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในประเทศไทยอย่างช้าๆ การปฏิวัติเล็กๆ
เริ่มขึ้นจากอินเทอร์เน็ต ดังที่เกิดเป็นประจำในยุคสมัยนี้
หนึ่งในกลุ่มผู้ริเริ่มการเคลื่อนไหวคือ คุณปิยรัฐ จงเทพ อายุ 22 ปี
เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบาง สวมแว่นตาอันโต จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
ในกรุงเทพมหานคร เขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมเพื่อนอีก 2
คนที่นั่งประกบข้างราวกับเป็นบอดี้การ์ดของเขา
ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว ปิยรัฐ
น่าจะเป็นผู้ประสบเหตุที่ดูสมบูรณ์แบบที่สุด
และเพราะเขารู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี เขาจึงชักชวนให้
นักศึกษาส่งรูปถ่ายจากการรับน้องระบบโซตัสที่โหดร้ายทารุณ
หรือแจ้งรายงานรายละเอียดการรับน้องให้เขาทราบทางเพจในเฟซบุค ปรากฏว่า
มีคนส่งเข้ามาให้เขาหลายร้อยราย
ในจำนวนรูปถ่ายที่ส่งเข้ามา มีหลายภาพที่น่าตกใจ:
เด็กจำนวนหนึ่งนอนทับกันเป็นแถวอยู่ในท่อระบายน้ำเสีย
มีนักศึกษาถูกมัดและนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
ในขณะที่รอบตัวเขารายล้อมไปด้วยผู้ชายและผู้หญิงใส่หน้ากากและถือกระบองใน
มือ มีคนส่งภาพถ่ายจากเชียงใหม่มาให้ปิยรัฐด้วยเช่นเดียวกัน “น.ศ.
ส่วนมากไม่เห็นด้วยการรับน้องด้วยระบบโซตัสที่รุนแรง
แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา แต่ตอนนี้ เราสามารถแสดงความคิดเห็นออกมาได้แล้ว”
ปิยรัฐ กล่าว
กลุ่มในเฟสบุ๊คของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เด็กหลายๆคน
เขาปรากฏตัวในทีวี ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเสวนา “บางครั้ง
มีคนมาทักผมตามท้องถนน และให้กำลังใจให้ผมทำงานต่อไป” ปิยรัฐ กล่าว
ส่วนหน่วยงานของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยก็ยังคงเพิกเฉยและปกปิดปัญหาที่เกิด
ขึ้นต่อไป
จนถึงขณะนี้
ยังไม่มีมหาวิทยาลัยใดออกมาแสดงความเห็นต่อเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นอย่าง
เปิดเผยแม้แต่แห่งเดียว ม.แม่โจ้ จ. เชียงใหม่ กล่าวกับ UniSPIEGEL ว่า
มีข่าวลือและการคาดคะเนไปต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับกิจกรรมการรับน้องของ
ม.แม่โจ้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
ที่นี่มีการระมัดระวังเกี่ยวกับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของนักศึกษาเป็น
อย่างมาก
อุปสรรคในการเคลื่อนไหวต่อต้านระบบโซตัสเกิดขึ้นเนื่องจากนักศึกษาหลาย
คน ยังต้องการยึดติดกับประเพณีดั้งเดิม
เฟซบุคกลุ่มของปิยรัฐถูกรีพอร์ทว่าเป็น Spam และถูกลบทิ้งหลายครั้ง
เขากล่าวว่า เขาเคยได้รับจดหมายข่มขู่ และตอนที่ม.แม่โจ้
มีแผนจะย่นระยะเวลาการรับน้องให้สั้นลง
มีนักศึกษาหลายร้อยคนออกมาประท้วงผู้บริหารมหาวิทยาลัย
นักศึกษาชื่อ Attiwich Sutthiyuth อายุ 21 ปี เห็นตรงข้ามกับปิยรัฐ
เขาได้แสดงความเห็นปกป้องการรับน้องระบบโซตัสอย่างชัดเจน
ในทำนองว่าอย่างมากรุ่นพี่ก็แค่ตะโกนใส่รุ่นน้อง เพื่อให้รุ่นน้องเคารพ
ก็เท่านั้น “โซตัส เปรียบเสมือนมีด มันขึ้นอยู่กับว่า
เราจะใช้งานมันอย่างไร”
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น