เลี่ยงสงครามกลางเมืองด้วยการเลือกตั้ง
โดย อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
การรุกครั้งล่าสุดของพวกเผด็จการที่กระทำต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ดูจากภายนอกแล้ว ก็ยังคงดำเนินไปตาม “สูตรเดิม” คือ
มีกองหน้าประกอบด้วยกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง
ซึ่งคราวนี้ได้ผัดหน้าทาแป้งใหม่เป็น
“คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (กปปส.)
และเปลี่ยนตัวผู้นำขบวนมาเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์
ตระกูลชินวัตรและแกนนำพรรคเพื่อไทยยังคงเดินแนวทางประนีประนอมกับพวก จารีตนิยม แม้จะตระหนักดีว่า ศึกครั้งนี้ ฝ่ายจารีตนิยมหมายมุ่งถึงขั้นทำลายตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อได้รับ “คำสัญญา” ว่า จะให้มีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน นายกรัฐมนตรีก็ได้ยอมต่อแรงกดดัน ประกาศยุบสภา กลายเป็นรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีรัฐสภาและไร้อำนาจบริหาร รอความหวังแต่เพียงว่า พวกจารีตนิยมจะรักษาคำมั่นสัญญา และหวังว่า แรงกดดันจากนานาชาติจะทำให้ฝ่ายเผด็จการยอมให้มีการเลือกตั้งในที่สุด
นาทีนี้ จึงเหลือแต่จังหวะเวลาที่ฝ่ายจารีตนิยมจะใช้ตุลาการ ปปช. และท้ายสุดคือ แรงกดดันจากกองทัพ เพื่อจัดการกับตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยเป็นขั้นสุดท้ายเท่านั้น
การรุกครั้งล่าสุดของพวกจารีตนิยมแม้จะดำเนินตาม “สูตรเดิม” เหมือนปี 2549 ที่โค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และปี 2551 ที่โค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน แต่ในครั้งนี้ ก็มีลักษณะพิเศษกว่าสองครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด
ประการแรก การรุกครั้งนี้มีลักษณะปฏิกิริยาถอยหลังอย่างชัดเจน มุ่งที่จะล้มเลิกการเมืองแบบเลือกตั้ง นี่เป็นการเปลี่ยนไปจากแนวทางเดิมที่พวกจารีตนิยมเคยใช้มาตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ซึ่งในเวลานั้น พวกเขายังต้องการใช้เปลือกนอกของระบบรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 มาเคลือบคลุมเนื้อในที่เป็นเผด็จการของตนไว้ แต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2550 และ 2554 พิสูจน์ว่า ทั้งรัฐธรรมนูญ 2550 และกลไกตุลาการอันบิดเบี้ยวที่พวกเขาบรรจงสร้างขึ้น ก็ยังไม่ช่วยให้สามารถเอาชนะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในสนามเลือกตั้ง แล้วจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นหุ่นเชิดของพวกเขาได้ แต่กลับได้มาซึ่งรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งสามารถฉวยใช้กลไกของรัฐธรรมนูญ 2550 มาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อบ่อนเซาะอำนาจของพวกเขาอีกด้วย
นัยหนึ่ง รัฐธรรมนูญ 2550 ได้กลายเป็น “หอกทมิฬแทงทมิฬ” สำหรับพวกจารีตนิยมไปเสียแล้ว! การ เคลื่อนไหวของเผด็จการในวันนี้จึงมีเป้าหมายที่อยู่นอกกรอบของรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งก็คือ แทนที่สภาผู้แทนฯและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยฝ่ายนิติบัญญัติและ รัฐบาลที่แต่งตั้งโดยพวกจารีตนิยม!
ประการที่สอง การรุกของพวกต่อต้านประชาธิปไตยครั้งนี้ได้เผยธาตุแท้ที่เป็นเผด็จการล้า หลังออกมาจนหมดสิ้น สะท้อนออกมาเป็นการเคลื่อนไหวของ กปปส. ที่ชูธงนำทางความคิดว่าด้วย “สภาประชาชน” และ “นายกฯคนกลาง” ที่ถูกนำเสนอออกมาอย่างเป็นเอกภาพพร้อมกันถึง 4 กลุ่มคือ กปปส. กลุ่มอธิการบดีมหาวิทยาลัย กลุ่มนักวิชาการที่นิยมกษัตริย์และนิยมทหาร แล้วโหมกระพือให้เป็นกระแสสังคมคนชั้นกลางด้วยสื่อมวลชนกระแสหลักที่เลือก ข้างเผด็จการ
ทั้งหมดนี้ได้รวบยอดขึ้นเป็นวาทกรรม “ปฏิรูปประเทศไทย” ปลุกปลั่นกระแสปฏิเสธการเลือกตั้ง เรียกร้องให้ “ปฏิรูปก่อน เลือกตั้งทีหลัง” ไม่เอาการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยอ้างว่า ถ้าไม่ “ปฏิรูป” แล้วรีบเลือกตั้ง “ระบอบทักษิณ” ก็จะหวนกลับมาเถลิงอำนาจอีกอยู่ดี ฉะนั้น จึงต้อง “ปฏิรูปก่อน” ซึ่งก็คือ ฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ทำลายตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ปราบปรามประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยให้หมดสิ้นก่อน แล้วปกครองด้วยเผด็จการอย่างเปิดเผยอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหวนคืนสู่ระบบการเมืองแบบเลือกตั้งอีกครั้ง
การโหมกระแส “ปฏิรูปก่อน เลือกตั้งทีหลัง” จึงเป็นยุทธวิธีที่มุ่งขัดขวางไม่ให้มีเลือกตั้ง และเปิดช่องให้ใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญโดยผ่านตุลาการและทหาร เพื่อนำเอาระบอบเผด็จการเข้ามานั่นเอง
ประการที่สาม ในการรุกของพวกจารีตนิยมครั้งนี้ ดารานักร้องนักแสดง นักเคลื่อนไหวเอ็นจีโอ นักวิชาการ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ปัญญาชนทุกแขนง สื่อมวลชนกระแสหลัก ล้วนได้เผยระบบความคิดที่เป็นอุดมการศักดินานิยมออกมาอย่างหมดเปลือก ซึ่งก็คือ ความคิดพื้นฐานที่ว่า “คนเราเกิดมา ไม่เท่ากัน” มีชนชั้นศักดินาที่ “เหนือคน เหนือเทวดา” ผูกขาดทั้งอำนาจ โภคทรัพย์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชั้นสูง กับชนชั้นไพร่ที่ “ต่ำชั้นกว่า” ทั้งโภคทรัพย์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ความคิดนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในหมู่ผู้ปกครองไทย และได้ถูกมอมเมา แพร่ระบาดไปยังชนชั้นกลางในเมืองที่เป็นหางเครื่องศักดินาในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ ความคิดศักดินาดังกล่าวถูกแสดงออกโดยดารานักแสดงนักร้องตัวตลกที่ปราศจาก สมองมนุษย์ ซึ่งผรุสวาทออกมาแล้วก็เป็นที่สมเพชของสังคม แต่ในการรุกครั้งล่าสุด ชนชั้นกลางในเมืองจำนวนหนึ่งได้ประสานเสียงร่วมกันแพร่ความคิดดังกล่าวออกมา อย่างเป็นระบบ ในรูป “คนชนบทนั้นโง่และไร้การศึกษา ไม่ควรมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง คนเหนือ-อีสาน ลาวนั้นโง่ เลว ซื้อสิทธิ์ขายเสียง” ไปถึงขนาดผู้บริหารมหาวิทยาลัยและนักวิชาการใหญ่ที่นิยมกษัตริย์-นิยมทหาร เอาความคิดดังกล่าวมาวิเคราะห์ ปั้นแต่งอุปโลกน์ให้เป็น “ข้อคิดทางวิชาการ” อภิปรายกันเป็นคุ้งเป็นแควบนเวทีเสวนาในหอประชุมอันทรงเกียรติ์
ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักวิชาการ และชนชั้นกลางในเมืองที่ช่วยกันสำแดงความคิดดังกล่าวออกมานั้น ลืมรากเง่ากำพืดของตัวเองเสียสิ้นว่า ถ้าย้อนหลังเวลาไปสักร้อยหรือสองร้อยปี ต้นตระกูลของคนพวกนี้ ทั้งปู่ย่าตายายและพ่อแม่ ก็ล้วนเป็นไพร่เลกไร้ศึกษา ถูกสักข้อมือ ขูดรีดเกณฑ์แรงงานโดยพวกศักดินาด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่คนชั้นกลางกรุงเทพฯที่มีเชื้อสายจีนและมีการศึกษาสูงในวันนี้ ก็สืบมาจากไพร่ชาวนาที่ยากจนบนแผ่นดินจีน จากกรรมกรจับกังทำงานแบกหามตามโกดังและโรงสีริมแม่น้ำเจ้าพระยา หรือคนจีนอันต่ำต้อยที่ค้าขายเบ็ดเตล็ดอยู่ทั่วไปในกรุงเทพและหัวเมืองใน อดีต เพียงแต่คนชั้นกลางรุ่นปัจจุบันที่เป็นลูกหลานได้รับการศึกษา อาชีพการงาน สถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการอุ้มชูโดยพวกศักดินา ก็ทำให้คนพวกนี้ลืมกำพืดเดิมของตัวเอง ยกตนเทียบชั้นเป็นศักดินาเสียเองในวันนี้! กระทั่งหลายคนยังลืมไปว่า บรรพบุรุษของตนก็มีเชื้อสายคนเหนือ อีสาน ลาว เขมร ปะปนกันมาทั้งสิ้น
การรุกของพวกเผด็จการที่มีคนชั้นกลางในเมืองเป็นหางเครื่องครั้งนี้จึง เป็นอันตรายที่คุกคามต่อฝ่ายประชาธิปไตยมากที่สุดนับแต่ปี 2549 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นการรุกในสภาพที่มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยได้เข้มแข็งเติบใหญ่ทั่ว ประเทศ และได้รับแรงสนับสนุนอย่างล้นหลามจากเพื่อนมิตรนานาประเทศทั่วโลก ซึ่งจะไม่ยอมให้พวกจารีตนิยมหมุนนาฬิกาย้อนกลับไปสู่เผด็จการเบ็ดเสร็จอีก หากพวกจารีตนิยมจะดันทุรังไม่ให้มีเลือกตั้ง ก็สุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่ “สงครามกลางเมืองที่หลั่งเลือด” ในที่สุด
ฝ่ายประชาธิปไตยมีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะนอง เลือดได้ ซึ่งก็คือ เคลื่อนไหวมวลชนทั่วประเทศ ประสานกับเพื่อนมิตรนานาชาติ ก่อกระแสรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดให้จงได้ รวมทั้งปรามตุลาการและทหาร เพื่อสกัดแผนการของพวกเผด็จการที่จะอ้าง “การปฏิรูป” มาทำลายขบวนประชาธิปไตย
(ที่มา)
http://pichitlk.blogspot.dk/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น