มาคุย “ปฏิรูป” กันเถิด (5) สร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชน
มาคุย “ปฏิรูป” กันเถิด (4) ลดบทบาททหารในสังคม
มาคุย “ปฏิรูป” กันเถิด (3) ยกเลิกองค์กรอิสระ
http://turnleftthai.blogspot.dk/2014/01/1_22.html
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไร้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง รากฐานปัญหาอยู่ที่การมองว่าคนไทย ไม่ใช่ “พลเมือง” ที่เท่าเทียมกัน บ่อยครั้งมีการเรียกผู้คนด้วยคำล้าสมัยว่า “ราษฎร” ซึ่งราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่าหมายถึงประชาชนผู้อาศัยอยู่ในแว่นแคว้นของพระราชา มันเป็นคำจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ไม่เหมาะสมกับประชาธิปไตยในยุคปัจจุบัน
แนวความคิดว่าบางคน “สูง” บางคน “ต่ำ” ถูกผลิตซ้ำโดยพฤติกรรมของทหาร นักการเมือง และนายทุน ทหารระดับนายพลจึงมองว่าตนเองสามารถเข่นฆ่าประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้ตามอำเภอใจ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา, ๖ตุลา, พฤษภา ๓๕, ยุคทักษิณที่ตากใบและสงครามยาเสพติด และในปี ๒๕๕๓ เวลารัฐบาลอภิสิทธ์กับทหารเข่นฆ่าคนเสื้อแดง ไม่เคยมีใครเคยถูกลงโทษ
ในสถานที่ทำงาน นายจ้างมักมองว่าตนเองมีสิทธิ์เผด็จการเหนือลูกจ้าง และกฏหมายแรงงานบวกกับอคติของผู้พิพากษาศาลแรงงาน มักสนับสนุนความคิดเผด็จการอันนี้
ในระบบยุติธรรมทั่วไป พวกที่นั่งบัลลังก์มักมองพลเมืองธรรมดาด้วยความดูถูกดูหมิ่น และเหมือนไม่ใช่คนที่ควรได้รับความเคารพ นักโทษในคุกถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสัตว์ แทนที่จะใช้ความคิดสากลสมัยใหม่ที่มองว่านักโทษก็มีสิทธิ์เช่นกัน
ในสังคมทั่วไป คนงานจากประเทศเพื่อนบ้านหรือผู้ลี้ภัยถูกกระทำอย่างโหดร้ายทารุณ มีการรีดไถเงิน มีการตบตี ฆ่าแล้วเผาศพ และบางครั้งมีการนำคนที่เป็นผู้ลี้ภัยไปขายให้พวกค้ามนุษย์ มีกรณีของ “ลูกคนมีเส้น” ที่สามารถหลบหนีคดีฆาตกรรมได้สบาย
ทำเนียมหมอบคลานต่อคนที่อ้างตัวเป็น “ผู้ใหญ่” เป็นวิธีทำให้ผู้หมอบคลานมีฐานะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่คนที่ยืนสองขา ทำเนียมแย่ๆ นี้ถูกกระจายลงไปสู่โรงเรียนและครัวเรือน คนรวยมักชอบให้คนรับใช้ก้มหัวคลาน และทำงานทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ในภาษาพูดก็มีการเน้น “สูงต่ำ” เช่นคำว่า “หนู” ที่สตรีถูกกล่มเกลาให้เรียกตัวเอง ซึ่งเป็นการเสริมว่าผู้หญิงเป็นคนชั้นสอง
ถ้าเราจะสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประชาชน สิ่งแรกที่เราต้องทำคือยุบคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพราะองค์กรนี้เต็มไปด้วยตำรวจ ทหาร และนักวิชาการที่มีอคติต่อประชาธิปไตย
ต่อจากนั้นเราต้องรณรงค์ให้ไทยยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อให้มีการลงโทษคนที่ก่ออาชญากรรมกับประชาชน ภายในประเทศเราต้องรณรงค์ให้นำผู้บัญชาการทหาร และนักการเมืองอย่าง อภิสิทธ์ สุเทพ และทักษิณ มาขึ้นศาลในฐานะที่ก่ออาชญากรรมรัฐ เราควรตามตัวอย่างการพยายามสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชนในเกาหลีใต้ อาเจนทีนา หรือชิลี
ในระยะยาวเราต้องเพิ่มสิทธิของลูกจ้างในการเคลื่อนไหวในองค์กรสหภาพแรงงาน เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับสิทธินักโทษในคุก สิทธินักเรียนในโรงเรียน และต้องรณรงค์ให้ความคิดเรื่อง “พลเมืองที่เท่าเทียม” กลายเป็นความคิดกระแสหลัก
แต่ก็อย่างที่เราเคยพูดมาเกี่ยวกับการปฏิรูป 1-4 ที่เคยเสนอมา พวกที่เรียกร้องให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ไม่มีวันเสนอเรื่องแบบนี้
(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2014/01/5.html
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไร้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง รากฐานปัญหาอยู่ที่การมองว่าคนไทย ไม่ใช่ “พลเมือง” ที่เท่าเทียมกัน บ่อยครั้งมีการเรียกผู้คนด้วยคำล้าสมัยว่า “ราษฎร” ซึ่งราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่าหมายถึงประชาชนผู้อาศัยอยู่ในแว่นแคว้นของพระราชา มันเป็นคำจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ไม่เหมาะสมกับประชาธิปไตยในยุคปัจจุบัน
แนวความคิดว่าบางคน “สูง” บางคน “ต่ำ” ถูกผลิตซ้ำโดยพฤติกรรมของทหาร นักการเมือง และนายทุน ทหารระดับนายพลจึงมองว่าตนเองสามารถเข่นฆ่าประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้ตามอำเภอใจ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา, ๖ตุลา, พฤษภา ๓๕, ยุคทักษิณที่ตากใบและสงครามยาเสพติด และในปี ๒๕๕๓ เวลารัฐบาลอภิสิทธ์กับทหารเข่นฆ่าคนเสื้อแดง ไม่เคยมีใครเคยถูกลงโทษ
ในสถานที่ทำงาน นายจ้างมักมองว่าตนเองมีสิทธิ์เผด็จการเหนือลูกจ้าง และกฏหมายแรงงานบวกกับอคติของผู้พิพากษาศาลแรงงาน มักสนับสนุนความคิดเผด็จการอันนี้
ในระบบยุติธรรมทั่วไป พวกที่นั่งบัลลังก์มักมองพลเมืองธรรมดาด้วยความดูถูกดูหมิ่น และเหมือนไม่ใช่คนที่ควรได้รับความเคารพ นักโทษในคุกถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสัตว์ แทนที่จะใช้ความคิดสากลสมัยใหม่ที่มองว่านักโทษก็มีสิทธิ์เช่นกัน
ในสังคมทั่วไป คนงานจากประเทศเพื่อนบ้านหรือผู้ลี้ภัยถูกกระทำอย่างโหดร้ายทารุณ มีการรีดไถเงิน มีการตบตี ฆ่าแล้วเผาศพ และบางครั้งมีการนำคนที่เป็นผู้ลี้ภัยไปขายให้พวกค้ามนุษย์ มีกรณีของ “ลูกคนมีเส้น” ที่สามารถหลบหนีคดีฆาตกรรมได้สบาย
ทำเนียมหมอบคลานต่อคนที่อ้างตัวเป็น “ผู้ใหญ่” เป็นวิธีทำให้ผู้หมอบคลานมีฐานะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่คนที่ยืนสองขา ทำเนียมแย่ๆ นี้ถูกกระจายลงไปสู่โรงเรียนและครัวเรือน คนรวยมักชอบให้คนรับใช้ก้มหัวคลาน และทำงานทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ในภาษาพูดก็มีการเน้น “สูงต่ำ” เช่นคำว่า “หนู” ที่สตรีถูกกล่มเกลาให้เรียกตัวเอง ซึ่งเป็นการเสริมว่าผู้หญิงเป็นคนชั้นสอง
ถ้าเราจะสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประชาชน สิ่งแรกที่เราต้องทำคือยุบคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพราะองค์กรนี้เต็มไปด้วยตำรวจ ทหาร และนักวิชาการที่มีอคติต่อประชาธิปไตย
ต่อจากนั้นเราต้องรณรงค์ให้ไทยยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อให้มีการลงโทษคนที่ก่ออาชญากรรมกับประชาชน ภายในประเทศเราต้องรณรงค์ให้นำผู้บัญชาการทหาร และนักการเมืองอย่าง อภิสิทธ์ สุเทพ และทักษิณ มาขึ้นศาลในฐานะที่ก่ออาชญากรรมรัฐ เราควรตามตัวอย่างการพยายามสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชนในเกาหลีใต้ อาเจนทีนา หรือชิลี
ในระยะยาวเราต้องเพิ่มสิทธิของลูกจ้างในการเคลื่อนไหวในองค์กรสหภาพแรงงาน เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับสิทธินักโทษในคุก สิทธินักเรียนในโรงเรียน และต้องรณรงค์ให้ความคิดเรื่อง “พลเมืองที่เท่าเทียม” กลายเป็นความคิดกระแสหลัก
แต่ก็อย่างที่เราเคยพูดมาเกี่ยวกับการปฏิรูป 1-4 ที่เคยเสนอมา พวกที่เรียกร้องให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ไม่มีวันเสนอเรื่องแบบนี้
(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2014/01/5.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น