หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

ทั่วโลกองค์กร “อิสระ” คือเครื่องมือเผด็จการ

ทั่วโลกองค์กร “อิสระ” คือเครื่องมือเผด็จการ 


 
โดย อ.ใจ อึ๊งภากรณ์

 
ขณะนี้องค์กรที่อ้างกันว่า “อิสระ” ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือวุฒิสภาในส่วนที่มาจากการแต่งตั้ง ล้วนแต่หมดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิงในสายตาประชาชนไทยส่วนใหญ่ สาเหตุก็อย่างที่เราเห็นกันอยู่คือ องค์กรเหล่านี้ ซึ่งในปัจจุบันงอกออกมาจากเผด็จการและรัฐประหาร ล้วนแต่ตั้งหน้าตั้งตาสร้างอุปสรรค์กับกระบวนการประชาธิปไตย และพร้อมที่จะทำลายสิทธิเสรีภาพในแง่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

องค์กร เหล่านี้ไม่เคยจับผิดผู้ดำรงตำแหน่งในรัฐไทยที่เข่นฆ่าประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ หรือการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในปาตานี และพวกนี้ก็เพิกเฉยกับการฆ่าวิสามัญใน “สงครามยาเสพติด” ในยุคทักษิณอีกด้วย พวกนี้เพิกเฉยต่อการโกงกินทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการทหารที่รวยกว่าเงินเดือนปกติและกอบโกยทรัพย์สินจาก การทำรัฐประหารหรือการคุมสื่อและรัฐวิสาหกิจ หรือนายทุนที่โกงลูกจ้าง และถ้ามีการจับผิดนักการเมือง ก็แค่เป็นเพราะเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” ไม่เคยมีการจับผิดพวกที่แต่งตั้งกันเองและชงเรื่องกันเองเพื่อประโยชน์ฝ่าย ตน ไม่เคยมีการออกมาประณามกฏหมายเผด็จการ 112 ที่ปิดปากและทำลายสิทธิเสรีภาพ ไม่เคยมีการวิจารณ์สองมาตรฐานของการที่คนอย่างคุณสมยศติดคุกเป็นสิบๆปี ในขณะที่นักการเมืองและทหารฆาตกรอย่างสุเทพ อภิสิทธิ์ ประยุทธ์ หรือทักษิณลอยนวล และไม่มีองค์กรอิสระใดที่วิจารณ์การที่ศาลลำเอียงปกป้องตนเองจากการถูก วิจารณ์ด้วยกฏหมาย “หมิ่นศาล”

พวกนักวิชาการที่เชิดชูแนวคิดเกี่ยวกับ “องค์กรอิสระ” โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ และหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา ไม่เคยสุจริตพอที่จะเปิดเผยว่าแนวคิด “เสรีนิยม” (liberalism) อันนี้ เป็นเพียงหนึ่งแนวคิดในหลายความคิดที่ตรงข้ามกันและนำไปสู่การถกเถียงเสมอในระดับสากล เขาพยายามพูดว่า “ทุกคนที่รักประชาธิปไตย” ย่อมเห็นด้วยกับการมีองค์กรอิสระ และพูดเหมือนกับว่ามันเป็นแค่ “เทคนิค” ในการบริหารประเทศที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

ส่วนแกนนำ เอ็นจีโอ ที่คล้อยตามความคิดนี้ ก็กระทำด้วยความโง่เขลา เพราะพวกเขามีจุดยืนที่ปฏิเสธการให้ความสำคัญกับทฤษฏี เลยรับแนวคิดของชนชั้นนายทุนมาเต็มตัว โดยไม่สนใจที่จะรู้ตัว เนื่องจากภูมิใจในการเป็น “นักปฏิบัติ

แนวคิดทางเศรษฐกิจการเมืองที่เรียกว่า “เสรีนิยม” เป็นแนวของชนชั้นนายทุน ในอดีตมันอาจ “เสรี” ในแง่ที่พยายามต้านการผูกขาดเศรษฐกิจและการเมืองโดยพวกขุนนาง แต่นั้นมันเกิดในศตวรรษที่ 19 ในปัจจุบันความ “เสรี” ของแนวเสรีนิยม คือเสรีภาพแบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เสรีภาพในการกอบโกยเอาเปรียบประชาชนส่วนใหญ่ เพื่อปกป้องและเพิ่มความเหลื่อมล้ำ

ในทางการเมือง การเสนอว่าควร “แบ่งแยกอำนาจ” ระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เป็นมาตรการเพื่อให้ฝ่ายนายทุนและอภิสิทธิ์ชนแบ่งอำนาจกันเอง อย่าลืมว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกเสนอมาในช่วงก่อตั้งสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนั้นประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง และไม่ต้องพูดถึงสิทธิของสตรีหรือคนผิวดำเลย พอสหรัฐพัฒนาประชาธิปไตยและพลเมืองทุกคนมีสิทธิ์เลือกตั้ง ก็มีการสร้างอุปสรรค์เพื่อไม่ให้คนธรรมดาเข้ามาดำรงตำแหน่งในสามองค์กรดังกล่าว

ประเด็นสำคัญสำหรับไทยในยุคนี้คือ ทำไมเราไม่ควรมีสิทธิ์เลือกทั้งรัฐบาล สภา และศาล? เพราะถ้าเราไม่มีสิทธิ์เลือก ใครจะแต่งตั้งเขา? คำตอบคือพวกอภิสิทธิ์ชนนั้นเอง นี่คือสาเหตุที่คนจนกับคนรวยได้รับการเลือกปฏิบัติจากกระบวนการยุติธรรมทั่วโลก

ในปัจจุบัน การผลักดันเรื่อง “องค์กรอิสระ” ซึ่งหมายถึง “องค์กรที่อิสระจากการเมือง” เป็นวิธีที่จะลดอำนาจของประชาชนที่ใช้ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น เพราะในระบบประชาธิปไตย นักการเมืองได้ตำแหน่งมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นการมีองค์กรที่ไม่ได้มาจากการเมืองเลือกตั้ง ก็เพียงแต่เป็นองค์กรที่อภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์แต่งตั้งเอง และแต่งตั้งเพื่อลดทอน “ตรวจสอบ” คนที่มาจากการเลือกตั้ง เช่นการใช้ ส.ว. แต่งตั้ง หรือ พวก “องค์กรอิสระ” ทั้งปวงในไทยที่คิดว่าตนเองควรมีอำนาจเหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

การเสนอว่าธนาคารกลางในประเทศต่างๆ เป็นองค์กร “อิสระ” โดยเฉพาะในยุโรป เป็นการโยกย้ายอำนาจในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ให้กับคนที่พวกนายทุนแต่งตั้ง แทนที่จะมาจากกระบวนการประชาธิปไตย เพราะธนาคารกลางมีหน้าที่ควบคุมธนาคารพาณิชย์ กำหนดอัตราดอกเบี้ย และ ควบคุมระบบการเงิน และคนที่ดำรงตำแหน่งบริหารธนาคารกลางมีแต่พวกนายธนาคารหรือนายทุน ไม่เคยมีใครที่เป็นกรรมาชีพหรือคนธรรมดาเลย

สรุป แล้วแนวคิดเสรีนิยมที่เน้นความสำคัญขององค์กรอิสระ เป็นแนวคิดที่ไม่ไว้ใจวุฒิภาวะของประชาชนส่วนใหญ่ และไม่ไว้ใจประชาธิปไตย มันเข้ากับความคิดของม็อบชนชั้นกลางที่พยายามทำลายประชาธิปไตยไทย

ประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมที่เราเห็นทั่วโลก เป็นเพียงประชาธิปไตยครึ่งใบ เพราะอำนาจในการลงทุนและจ้างงาน ซึ่งมีผลกระทบหลักต่อชีวิตคนส่วนใหญ่ และเป็นการควบคุมเศรษฐกิจ มักอยู่ในมือนายทุนที่ไม่เคยมาจากการเลือกตั้งเลย แต่แค่ประชาธิปไตยครึ่งใบแบบนี้ ก็ “มากไป” สำหรับฝ่ายเสรีนิยม

เราต้องยกเลิกองค์กรที่อ้างตัวว่า “อิสระ” ในไทย การแก้ไขหรือปฏิรูปจะไม่เปลี่ยนสถานการณ์แต่อย่างใด

บางคนอาจถามว่าถ้าไม่มีองค์กรอิสระเราจะกำจัดการคอร์รับชั่นและการใช้อำนาจแบบผิดๆ โดยนักการเมืองอย่างไร คำตอบคือต้องใช้กระบวนการประชาธิปไตย ต้องมีหลายพรรคการเมืองที่เสนอทางเลือก และพลเมืองทุกคนต้องมีสิทธิ์เข้าชื่อถอดถอนนักการเมือง พร้อมกันนั้นต้องมีการเลือกตั้งศาล และผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะทุกคนที่มีอำนาจในการกำหนดอนาคตของพลเมือง

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2014/03/blog-post_21.html             

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น