ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ปราศรัยเรื่องการสอดแนม ชี้ NSA กลายเป็น 'อันธพาล'
Julian Assange tells SXSW audience: ‘NSA has grown to be a rogue agency’
http://www.theguardian.com/media/2014/mar/08/julian-assange-wikileaks-nsa-sxsw
จูเลียน อัสซานจ์ แห่งวิกิลีกส์ ปราศรัยในเทศกาลดนตรี SXSW ถึงการสอดแนมว่าเป็นการรุกแทรกพื้นที่สังคมของพวกเราทุกคนและทำให้ชนชั้นนำ ฉกฉวยอำนาจจากประชาชนธรรมดาไป อีกทั้งยังบอกว่าก่อนหน้าที่จะมีการเปิดโปงพวกเราล้วนดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ 'โลกสมมติ'
10 มี.ค. 2557 จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ กล่าวปราศรัยผ่านระบบวิดีโอทางไกลในงานเทศกาลดนตรี SXSW (South by Southwest) โดยกล่าวว่าพลังของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญในการลดทอนอำนาจของสำนักงานความ มั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSA) รวมถึงองค์กรสอดแนมอื่นๆ
อัสซานจ์ ผู้ซึ่งกำลังลี้ภัยการเมืองอยู่ที่สถานทูตเอกวาดอร์ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ กล่าวปราศรัยผ่านวิดีโอซึ่งถ่ายทอดจากสถานที่ลี้ภัยดังกล่าวให้กับผู้ชมใน งานเทศกาลดนตรี SXSW ที่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐฯ โดยได้พูดถึงเรื่องการสอดแนมของสหรัฐฯ ประชาธิปไตยในโลกออนไลน์ และอนาคตของอินเทอร์เน็ต
หลังจากที่ถูกถามว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ควรทำอย่างไรหลังจากที่มีการเปิดโปงเรื่องการสอดแนมของ NSA อัสซานจ์ตอบว่า "องค์กร NSA กลายเป็นองค์กรอันธพาล (rogue agency) ไปแล้ว องค์กรนี้ถูกปล่อยให้เติบโตจนเป็นอิสระ ... พวกเขาเกือบจะมีความสามารถในการสอดแนมทุกคนบนโลกนี้ และอาจจะมีความสามารถขนาดที่ว่านี้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายโอนอำนาจจากประชาชนที่ถูกสอดแนมไปสู่ผู้ที่ควบคุม ระบบสอดแนมอยู่"
อัสซานจ์ยังได้กล่าวถึงการพยายาม 'ประชาสัมพันธ์' ให้คนคิดว่าการสอดแนมของ NSA ไม่มีอยู่ แต่เรื่องนี้ก็ถูกเปิดโปงโดยเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผู้เผยแพร่เอกสารขององค์กรหลายฉบับผ่านสื่อต่างๆ โดยอัสซานจ์กล่าวว่าการพยายามปกปิดเรื่องจากประชาชนทั่วไปนี้เองเป็นส่วน หนึ่งของอำนาจ
อัสซานจ์กล่าวอีกว่า NSA ควรจะเปลี่ยนนิสัยที่ไม่มีการโต้ตอบใดๆ หลังมีรายงานข่าวออกมา อย่างไรก็ตามอัสซานจ์คิดว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ควรเป็นผู้กำหนดแนวทางยุทธวิธีแทนที่จะเป็น NSA
ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ เว็บไซต์จอมแฉข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวอีกว่าอินเทอร์เน็ตเมื่อ 4 ปีที่แล้วเป็นพื้นที่ซึ่งปราศจากเรื่องการเมืองเว้นแต่การเคลื่อนไหวของ กลุ่มที่ชื่อ Anonymous ซึ่งมีความเป็นมือสมัครเล่น แต่หลังจากการเปิดโปงข้อมูลโดยองค์กรวิกิลีกส์ก็ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรับ รู้ความจริงมากขึ้น
"ผู้คนจำนวนมากเริ่มมีความรู้สึกว่าพื้นที่นี้ (อินเทอร์เน็ต) ที่พวกเขาใช้เป็นพื้นที่ซึ่งผู้คนใช้แลกเปลี่ยนความคิด เป็นพื้นที่ที่มีเพื่อนของพวกเขาทั้งหมดอยู่ เป็นพื้นที่เชื่อมประสานชุมชนซึ่งรวมถึงชุมชนที่มีอำนาจแบบที่เราอาจจะเรียก ได้ว่าเป็นอำนาจผู้สูงวัย (geriatric quo) คือคนสูงอายุที่มีอาวุธปืนจำนวนหนึ่งเป็นคนควบคุมเงินตราทั้งหมด" อัสซานจ์กล่าว
"สิ่งนี้แพร่กระจายออกไปในสถานที่และทิศทางที่ต่างออกไป ไม่ใช่แค่จากความพยายามของวิกิลีกส์เท่านั้น แต่แพร่ออกไปโดยสิ่งอื่นๆ ด้วย เช่นจากปรากฏการณ์อาหรับสปริง การประท้วง Occupy ...และอินเทอร์เน็ตก็กลายเป็นพื้นที่ทางการเมือง" อัสซานจ์กล่าว
เมื่อถามถึงเรื่องแรงจูงใจเบื้องหลังวิกิลีกส์ อัสซานจ์บอกว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการได้มาซึ่งความยุติธรรมคือการเปิดโปง ความอยุติธรรม แม้ว่าขั้นตอนอาจจะไม่ง่ายดายเพียงแค่เปิดโปงแล้วจะเกิดความยุติธรรมได้เลย แต่ก็เป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ก่อความอยุติธรรมไม่สามารถหลบหนีไปได้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็อาจจะมีปฏิบัติการบางอย่าง และมันก็จะไม่มีความเชื่อมั่นในอำนาจที่ถูกใช้ ไม่มั่นใจในความอยุติธรรมดังกล่าว
เมื่อถามว่าการเปิดโปงเรื่องของ NSA จะทำให้เว็บตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ อัสซานจ์กล่าวถึงกรณีที่มีคนในกองทัพสหรัฐฯ พูดถึงการเสนอกฎหมายใหม่ต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ให้มีการ "หยุดการตีพิมพ์เนื้อหาที่เกี่ยวกับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ" โดยอ้างถึงกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงหุ้นส่วนทรานส์แปซิฟิก (TPP) ซึ่งเป็นภัยต่อเว็บไซต์ต่างๆ เช่นกัน
"ในตอนนี้อินเทอร์เน็ตถูกหลอมรวมกับสังคมมนุษย์แล้ว ...กฎหมายที่ใช้กับอินเทอร์เน็ตก็ถูกใช้กับสังคมมนุษย์เราด้วย การพยายามรุกแทรกซึมอินเทอร์เน็ตโดย NSA และสำนักงานข่าวกรองของอังกฤษ (GCHQ) ก็ถือเป็นการรุกแทรกซึมสังคมมนุษย์เรา มันหมายถึงการจัดกำลังทหารไว้ในพื้นที่พลเรือน เป็นการที่ทหารยึดครองพื้นที่พลเรือนของพวกเรา ...นี่เป็นประเด็นที่ร้ายแรงมาก" อัสซานจ์กล่าว
อัสซานจ์ยังวิจารณ์สิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นความไร้อำนาจของนักการเมืองที่ มีอำนาจมากในทางหลักการ อัสซานจ์ตั้งคำถามว่าจะเป็นอย่างไรถ้าหากวันพรุ่งนี้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา สั่งยุบองค์กร NSA หรือแม้กระทั่ง CIA "ในทางหลักการแล้วโอบามามีอำนาจทำเช่นนี้ แต่พวกเราก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้" อัสซานจ์กล่าว
"พวกเราจะต้องทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับมัน พวกเราทุกคนควรจะทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ... แต่คนทั่วไปจะสามารถทำอะไรบางอย่างกับมันได้ พวกเราไม่มีทางเลือก เราไม่สามารถหลบซ่อนจากรัฐได้อีกต่อไปแล้ว คุณไม่สามารถก้มหลบแล้วหวังว่าการยอมเชื่อฟังหรือการทำตัวไร้พิษภัยจะทำให้ คุณรอดพ้น" อัสซานจ์กล่าว
"พวกเราทุกคนมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พวกเราทุกคนมีส่วนร่วมในสิ่งที่เราเรียกว่ารัฐ ไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการพยายามจัดการกับพฤติกรรมของรัฐซึ่งเราถูก บีบให้เป็นส่วนหนึ่งของมัน" อัสซานจ์กล่าว
ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ยังวิจารณ์การ "ขโมย" ความมั่งคั่งจากประชาชนส่วนใหญ่โดยผู้ที่มีอำนาจมากอยู่แล้ว โดยส่วนหนึ่งมาจากการล้วงข้อมูลจากประชาชน เนื่องจากความรู้คืออำนาจ ทำให้ผู้มีอำนาจได้รับอำนาจมากขึ้น อัสซานจ์บอกว่าวิกิลีกส์มีภารกิจในการ "ไล่ล่า" องค์กรที่รวบรวมข้อมูลเหล่านี้และนำมันกลับคืนสู่แหล่งข้อมูลที่ทุกคนเข้า ถึงได้เพื่อเป็นการให้อำนาจกับผู้คน
เมื่อมีการถามถึงการเปิดสำนักข่าวใหม่ขื่อ ดิอินเตอร์เซปท์ (The Intercept) ซึ่งก่อตั้งโดยเกลน กรีนวัลด์ (นักข่าวที่เผยแพร่ข่าวการสอดแนมจากเอกสารที่ได้จากสโนว์เดน) และได้รับทุนจากเศรษฐีเจ้าของอีเบย์ ที่ชื่อปิแอร์ โอมิยาร์ เป็นสำนักข่าวที่มุ่งเรื่องการเผยแพร่เอกสารจากสโนว์เดนและทำงานข่าวที่ ท้าทายในประเด็นอื่นๆ ในระยะยาว อัสซานจ์ก็ตอบว่า "ปิแอร์ โอมิยาร์ มองว่าแม้แต่กับคนที่เป็นเศรษฐี 8 พันล้านดอลลาร์ ก็ไม่ได้รับเสรีภาพอีกแล้ว"
"อาการของโอมิยาร์เป็นอาการของชนชั้นนำใหม่ในสหรัฐฯ ที่รู้สึกว่าตนถูกคุกคามโดยสิ่งที่เกิดขึ้นจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ และถือเป็นเรื่องสำคัญ" อัสซานจ์กล่าว
ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์กล่าวถึงเป้าหมายในอนาคตของเขาว่า อาจจะมี "การเปิดโปงครั้งใหญ่" เกิดขึ้นอีกทั้งจากวิกิลีกส์และจากแหล่งอื่นๆ
"พวกเรามีชีวิตอยู่ในโลกที่เราไม่เข้าใจ" อัสซานจ์กล่าว "ก่อนหน้าที่ข้อมูลเหล่านี้จะปรากฏออกมา ทั้งเรื่องเคเบิ้ลเกท (ข้อมูลวิเคราะห์ผู้นำโลก) หรือสิ่งที่พวกเราเผยแพร่เกี่ยวกับสงครามอิรัก รวมถึงเรื่องการเปิดโปง NSA โดยสโนว์เดน พวกเราก็ดำเนินชีวิตของเราไปในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นโลก แต่พวกเราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกจริง พวกเรามีชีวิตอยู่กับการฉายภาพสมมติที่พวกเราคิดว่ามันเป็นโลก และพวกเราก็กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกสมมติที่ว่านี้"
"พวกเราก้าวเดินอยู่ท่ามกลางหมอกที่ทำให้เรามองไม่เห็นพื้นดินมาโดยตลอด พวกเราคิดว่าเรามองเห็นพื้นดินแล้ว แต่เราคิดผิด และบ่อยครั้งที่หมอกพวกนี้ก็จางไปเมื่อมีการเปิดโปงครั้งใหญ่ ทำให้พวกเราได้เห็นพื้นดิน แล้วพวกเราก็แปลกใจ" อัสซานจ์กล่าว
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2014/03/52191
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น