‘โหน่ง โอเคนิติราษฎร์’ ถูกคุมตัวที่กองปราบ หลังชูป้ายฉลองวันชาติอเมริกาหน้าสถานทูต
8 ก.ค.2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.เชาวนาถ มุสิกภูมิ หรือที่รู้จักในนาม ‘โหน่ง โอเคนิติราษฎร์’ อายุ 52 ปี ถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องขังกองปราบฯ ตั้งแต่ 22.00 น.ของวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าควบคุมตัวเชาวนาถที่บ้านพัก ย่านบึงกุ่ม โดยระบุว่าขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) หลังจากเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งเป็นวันชาติของสหรัฐอเมริกา (Independence Day) เชาวนาถได้เดินทางไปชูป้ายร่วมฉลองบริเวณหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา
เชาวนาถ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า วันที่ 6 ก.ค. เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจในเครื่องแบบประมาณ 10 นาย เดินทางมาควบคุมตัวเธอที่บ้านพักย่านบึงกุ่ม ก่อนนำตัวไป สน.ลุมพินี หลังจากนั้นถูกนำตัวไปที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีเพื่อสอบสวน ตั้งแต่เที่ยงวัน จากนั้นเวลา 22.00 น. จึงถูกนำตัวมาขังไว้ที่กองบังคับการปราบปราม
เธอเล่าว่า ในวันที่ 4 ก.ค.ที่หน้าสถานเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ เธอถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบควบคุมตัวถึง 2 ครั้ง พร้อมกับขอบัตรประชาชนไปถ่ายภาพ แต่ท้ายที่สุดก็ได้รับการปล่อยตัวกลับบ้าน ก่อนจะเข้ามาควบคุมตัวตามที่อยู่ในบัตรประชาชนในภายหลัง
สำหรับการสอบสวนที่สโมสรทหารบกนั้น เชาวนาถระบุว่า เจ้าหน้าที่ทหารที่สอบสวนได้นำรูปที่เธอเคยชูป้ายที่หน้าหอศิลปฯ กรุงเทพภายหลังวันรัฐประหาร พร้อมสอบถามว่าเคลื่อนไหวกับใครบ้าง ซึ่งเธอยืนยันว่าเคลื่อนไหวเพียงลำพังในฐานะปัจเจกชนที่ยืดถือหลักการ ประชาธิปไตยเท่านั้น
เชาวนาถ กล่าวอีกว่า ป้ายที่เธอชูที่หน้าสถานทูตนั้นเป็นป้ายที่เขียนด้วยตัวเอง ขณะที่ทหารผู้สอบสวนพยายามที่จะสอบถามว่าทำไมจึงใช้คำว่า “Long live USA day” พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเสี่ยงที่จะผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเธอก็ชี้แจงไปว่าคำดังกล่าวไม่ได้หมายความว่า “ทรงพระเจริญ” อย่างเดียว แต่หมายถึงความยืนยาว โดยเธอต้องการแสดงความชื่นชมที่สหรัฐอเมริกามีประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ที่สำคัญ ต้องการใช้ข้อความให้กระชับบนแผ่นป้ายด้วย คณะสอบสวนจึงให้เธอชูแล้วถ่ายรูปด้านหน้าและด้านข้างเป็นหลักฐานก่อนจะยึด ป้ายดังกล่าวไป นอกจากนี้ทหารยังนำเอกสารมาให้เธอลงชื่อด้วย โดยเธอลงชื่อไปโดยไม่ทราบแน่ชัดว่ามีข้อความใดบ้างเนื่องจากไม่ได้นำแว่นสาย ตาติดตัวมาด้วย
สำหรับป้ายที่เชาวนาถชูหน้าเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ นั้น มีข้อความทั้งด้านหน้าและหลังว่า
“Long live USA day
Pl. help us, we need democracy. But, Thai elite dislike democracy.Thai junta pretended not to know, Thanks God give today.
USA, AUS, EU, NZ, etc... Please help us. No martial law. No coup”
สำหรับเหตุการณ์วันที่ 4 ก.ค.สื่อมวลชนรายงานว่าบริเวณหน้าสถานเอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกา มีประชาชนประมาณ 20 คน หลายรายแต่งกายด้วยเสื้อผ้า-หมวกที่มีสัญญลักษณ์ธงชาติอเมริกา รวมตัวชูป้ายข้อความมีเนื้อหาแสดงความยินดีกับวันชาติสหรัฐอเมริกา มีการถือดอกไม้สีแดง กินเฟรนช์ฟราย และข้าวหลามด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที 29 มิ.ย.ที่ผ่านมาที่หน้าสถานเอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกาเช่นกัน นายเทพ เวชวิสิฐ ได้เดินทางมาชูป้ายประท้วงพร้อมยื่นหนังสือต่อสถานเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ เพื่อแสดงท่าทีไม่พอใจ ต่อกรณีเข้ามาแทรกแซงการดำเนินกิจการภายในประเทศของไทย และเรียกร้องให้สหรัฐยุติพฤติกรรมดังกล่าว ต่อมา พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการศึกษา ช่วยราชการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งลงพื้นที่ตรวจสอบกล่าวถึงกรณีนี้ด้วยว่า พฤติกรรรมของชายคนนี้ไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดทางกฎหมายที่ห้ามชุมนุมทาง การเมือง เนื่องจากเป็นเพียงการแสดงออกถึงความไม่พอใจเท่านั้น และเชื่อว่าการชุมนุมทางการเมืองจะลดลงอย่างต่อเนื่อง (อ่าน “อำนวย” บอกหนุ่มใหญ่โผล่ประท้วงเดี่ยวหน้าสถานทูตสหรัฐ ไม่ผิด แค่แสดงความไม่พอใจ)
ทั้งนี้ เชาวนาถมีอาชีพเกี่ยวกับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และยังเป็นครูสอนนวดแผนไทยรวมถึงดูดวงไพ่ยิปซี ก่อนหน้านี้ทำอาชีพสื่อมวลชน เป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์บันทึกธุรกิจในช่วงปี 2526-2527 ก่อนจะยึดอาชีพชิปปิ้งนำเข้าส่งออกสินค้ามายาวนานกว่า 11 ปี เชาวนาถเล่าว่าสนใจการเมืองมาตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นมัธยมศึกษา และเหตุที่ชอบแนวคิดของนิติราษฎร์เนื่องจากเห็นว่าเป็นแนวทางที่ยืนอยู่บน หลักการและนำเสนอข้อเสนอที่น่าจะเป็นทางออกให้กับประเทศได้
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 ก.พ.55 เชาวนาถ หรือที่รู้จักในนาม ‘โหน่ง โอเคนิติราษฎร์’ ได้เคยชูป้ายเขียนข้อความว่า “โอเค นิติราษฎร์” ท่ามกลางการชุมนุมของกลุ่มวารสารต้านนิติราษฎร์ที่บริเวณด้านล่างตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อยื่นหนังสือถึงอธิการบดีพิจารณาการกระทำของคณะกลุ่มนิติราษฎร์ภายหลัง เรียกร้องเคลื่อนไหวแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มวารสารต้านนิติราษฎร์ จนเกิดการต่อว่า โห่ไล่เชาวนาถออกจากบริเวณดังกล่าว
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2014/07/54467
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น