จอม เพชรประดับ: แถลงฉบับที่ 2 อย่าผลักให้คนที่เห็นต่าง กลายเป็นภัยของแผ่นดิน
เกือบไม่ต้องสงสัยใด ๆ เลยว่า ความคิด จุดยืน และหลักการการปฏิบัติวิชาชีพที่ข้าพเจ้ายึดมั่น กลายเป็นอันตรายและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ อันเป็นแผ่นดินมาตุภูมิของตัวเองไปเสียแล้ว
เมื่อคสช.ได้ออกประกาศให้ข้าพเจ้าไปรายงานตัว ตอนเที่ยงวัน ของวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ข้าพเจ้ารับทราบคำประกาศดังกล่าวจึงไม่สามารถไป รายงานตัว ตามวันเวลา ที่กำหนดได้ เนื่องจากข้าพเจ้าพำนักอยู่ในต่างประเทศเพื่อการพักผ่อนและเยี่ยมญาติ
แม้จะค่อนข้างเชื่อมั่นว่า คณะ คสช. ไม่ได้ทำร้าย หรือตั้งข้อกล่าวหา กักขังหน่วงเหนี่ยว เพื่อเปลี่ยนทัศนคติข้าพเจ้า เหมือนกับบางคนที่ได้เข้าไปรายงานตัว เพียงแต่ต้องการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้ข้อมูลที่แตกต่าง เพื่อสร้าง ความเข้าใจใหม่ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการเรียกบุคคลให้ไปรายงานตัวของ คณะ คสช.
แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้า ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร จึงขอปฎิเสธที่จะเดินทางไปรายงานตัวดังกล่าว นอกเหนือจากที่ไม่สามารถเดินทางมาได้ในห้วงเวลาที่กระชั้นชิดแล้ว
ข้าพเจ้าทราบเหตุผลของการทำรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเพราะต้องการที่จะหย่าศึก หรือห้ามทัพความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายที่ไม่อาจจะพูดคุย ตกลงกันได้ หากปล่อยไว้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่าง ไม่อาจประเมินได้ ขณะเดียวกัน แม้ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชนไปแล้ว แต่ด้วยกลไกแห่งอำนาจที่เหนือกว่าอำนาจของรัฐบาล สร้างทฤษฎีสมคบคิดขึ้น เพื่อทำลายการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตย ทำให้ รัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทย ก็ไม่อาจจะทานทนอยู่ได้
เหตุผลของการทำรัฐประหาร ครั้งล่าสุดนี้ แม้มีน้ำหนักพอที่จะฟังได้ แต่หากกองทัพไทย มีสำนึกแห่งการรักษาไว้ซึ่งวิถีทางประชาธิปไตยแล้ว ด้วยอำนาจและบารมีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้น ย่อมอยู่ในสถานะที่เหมาะสมยิ่ง กับการที่จะเลือกประคับประคองระบอบประชาธิปไตย มากกว่าการทำรัฐประหาร โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว ตามความต้องการของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
แต่น่าเสียดายที่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับเลือกที่จะทำรัฐประหาร ตามข้อเรียกร้องของ กปปส. – พรรคประชาธิปัตย์ – และกลุ่มการเมืองที่อยู่ตรงกันข้ามกับ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย
แต่เมื่อ คณะคสช.เลือกที่จะทำรัฐประหาร และกำหนดแนวทาง แก้ปัญหาวิกฤติบ้านเมือง ตามโรดแมปของ กลุ่ม กปปส. – พรรคประชาธิปัตย์ – และกลุ่มที่อยู่ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย จึงทำให้ การยอมรับ และความชอบธรรมของ คณะ คสช. ที่จะเข้ามาสร้างความปรองดองสมานฉันท์ หรือ แม้แต่การเรียกบุคคลไปรายงานตัวเพื่อขอความคิดเห็น เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ จึงไม่อยู่ในสถานะที่จะทำให้เกิดการยอมรับหรือเชื่อมั่นได้
การที่ข้าพเจ้าปฏิเสธ ไม่ไปรายงานตัว มิได้โกรธแค้นหรือชิงชัง กับคณะ คสช. ตรงกันข้าม กลับเข้าใจในเหตุผล และจิตสำนึกที่จริงจัง ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คณะ คสช.ที่มีเจตนาดีต่อบ้านเมือง ต้องการที่จะให้บ้านเมืองสงบสุขและเดินต่อไปได้
แต่ด้วยอุดมการณ์แห่ง วิชาชีพสื่อสารมวลชน ซึ่งจะต้องยืนหยัดในหลักการของสิทธิเสรีภาพ การแสดงความคิดเห็น คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี ความเสมอภาคและความเท่าเทียม และเพื่อยืนหยัดว่า ประเทศไทย จะต้องปกครองโดย อำนาจสูงสุดที่มาจากประชาชน ตามวิถีทางประชาธิปไตย
ข้าพเจ้าจึงมิอาจที่จะทรยศต่อหลักการ และอุดมการณ์อันสูงส่งนี้ได้ ข้าพเจ้ายอมรับในเหตุผลและความจำเป็นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจทำรัฐประหาร ดังนั้นจึงขอความเข้าใจในเหตุผลและความจำเป็นของข้าพเจ้าด้วย
ข้าพเจ้าขอ ย้ำอีกครั้งว่า การตัดสินใจของข้าพเจ้าครั้งนี้ และทุกครั้งที่ผ่านมา หรือตลอดเวลาของการปฏิบัติหน้าที่สื่อข้าพเจ้าไม่เคยกินสินบาทคาดสินบน หรือ ได้รับอิทธิพล เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับกลุ่มการเมืองใด โดยเฉพาะกับ พรรคเพื่อไทย นปช. หรือ กลุ่มที่กำลังต่อต้าน คสช. อยู่เวลานี้ อาจจะมีบางกลุ่ม บางกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียม และความยุติธรรม ข้าพเจ้าเคยเข้าไปร่วมอยู่บ้างเพราะถือว่าเป็นอุดมการณ์ที่สอดคล้องกัน
บนเส้นทางการประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนข้าพเจ้า พยายามอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับอำนาจของฝ่ายการเมือง และอำนาจฝ่ายทุนที่พยายามเข้ามาแทรกแซงเพื่อทำให้เสรีภาพ ความเป็นธรรม ในการประกอบอาชีพต้องเบี่ยงเบนไป
ข้าพเจ้าไม่ได้ยินดีปรีดา หรือ ชื่นชมเทิดทูน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย นปช. พอ ๆ กับที่ไม่ได้เทิดทูน ยินดีปรีดา กับ นายชวน หลีกภัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ กปปส. และนักการเมืองทั้งหลาย
เพราะข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า หายนะ หรือวิกฤติบ้านเมืองที่แสนสาหัสอยู่ในเวลานี้เกิดจากนักการเมือง พรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใด กลุ่มการเมืองหนึ่ง เพียงอย่างเดียว แม้ว่าคนกลุ่มนี้ เมื่อขึ้นมามีอำนาจแล้ว มักจะไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนที่มอบอำนาจให้
แต่องคาพยพที่ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างของสังคมไทย การปลูกฝังวิถีวัฒนธรรมบางอย่าง หรือ การสร้างอุดมการณ์ความเป็นชาติไทย ความเป็นคนไทย ที่แข็งทื่อ สูงส่งอยู่เหนือเหตุผลความเป็นจริง ไม่ปรับรับกับการท้าทายของโลกยุคใหม่ก็เป็นเหตุสำคัญอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
คนไทยมีศักยภาพ และมีคุณภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพลเมืองของประเทศใดๆในโลก หากอยู่ในโครงสร้างของสังคมที่มีกฎกติกาประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง มีอิสระ เสรีภาพ เป็นธรรม และความเสมอภาคเป็นตัวชี้นำ
กประการหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องการชี้แจงเพราะเป็นประเด็นที่อาจจะทำให้ใคร บางคน หรือ คนบางกลุ่มไม่เข้าใจ กับการทำหน้าที่สื่อมวลชนของข้าพเจ้ากับการดำเนินรายการในฐานะพิธีกร หลายต่อหลายครั้งมักจะมีประเด็นให้ต้องพูดถึง พาดพิง หรือ อ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ไม่น้อย
ข้าพเจ้าขอย้ำอย่างหนักแน่น ณ ตรงนี้ว่า ข้าพเจ้า ไม่ได้มีความคิดที่จะล้มล้าง สถาบันพระมหากษัตริย์ เลยแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าตระหนักรู้อยู่เสมอว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ คือกำเนิดแห่งความเป็นชนชาติไทย พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ ได้สร้างชาติสร้างแผ่นดินให้พวกเราได้อยู่อาศัยอย่างมั่นคงถาวรถึงปัจจุบัน เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่คนไทยทุกคนต้องสำนึก อีกทั้งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องรักษา สถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป
แต่เมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้อย่างไรต่อไป ในโลกยุคใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม สายใยสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์ จะยังคงเหมือนพ่อปกครองลูกอยู่อีกหรือไม่ คนไทย ยังคาดหวังที่จะให้ พระมหากษัตริย์ เป็นสมมุติเทพ ที่จะต้องแบกรับความทุกข์ยากของพสกนิกรไว้เพียงพระองค์เดียวต่อไปอีกหรือไม่
นี่คือสิ่งที่จะต้องเปิดโอกาสให้คนไทย สังคมไทย จะต้องร่วมกันขบคิด และเสริมหนุนให้ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมแห่งความเป็นชนชาติไทยอย่างแท้จริง และยั่งยืน
สำนึกความเป็นคนไทยของแต่ละคน อาจจะแตกต่างกัน แต่เชื่อมั่นเถอะว่า ทุกสำนึก ทุกความคิดเห็น และทุกการแสดงออก ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักชาติ รักบ้านเมืองตัวเองไม่น้อยไปกว่ากัน
โปรดอย่าทำให้สำนึกแห่งความเป็นไทยของข้าพเจ้า กลายเป็นภัยต่อความมั่นคงสำหรับแผ่นดินเกิดของตัวเองเลย
เพราะความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ใช่อาชญากร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น