ความบรรลัยใกล้จะมาเยือนทุกครัวเรือน!!!
ความบรรลัยใกล้จะมาเยือนทุกครัวเรือน!!!
กฎอัยการศึกก็ยังไม่ยกเลิก
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่เด็ดพอที่จะดึงความเชื่อมั่นจากทั้งในและต่าง
ประเทศ
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะเหมือนครั้งที่เรามีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งคง
เป็นไปได้ยาก
วิกฤตเศรษฐกิจไทยครั้งนี้อาจไม่เลวร้ายเหมือนวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 40 เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่และสถาบันการเงินได้มีบทเรียนอันแสนสาหัสจากวิกฤตครั้งนั้น
แต่ผู้เดือดร้อนในปัจจุบันคือชาวนา เกษตรกร SMEs และผู้ส่งออกเป็นหลัก
เพราะการซึมของเศรษฐกิจในครั้งนี้เป็นแบบค่อยๆซึมจากพื้นราก
และใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว!
การวิเคราะห์เศรษฐกิจที่สนใจจากเพจ อภินิหารการเงิน
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ไปเดินเล่นที่ห้างพารากอนและเซ็นทรัล คนก็ยังพอมีอยู่ครับแต่ที่สังเกตุเห็นได้คือคนส่วนใหญ่มาเดินเล่นแต่ไม่ได้ซื้อสินค้าใดๆในห้าง ร้านอาหารบางร้านก็โล่งจากที่เคยต้องต่อคิว ส่วนพื้นที่จัดงาน Event ก็โล่งลงไม่มีผู้ประกอบการมานำเสนอขายโครงการหรือสินค้าใหม่ๆ ผมจึงขอตั้งข้อสังเกตุว่าผู้ประกอบการต่างๆเริ่มไม่มั่นใจต่อกำลังซื้อ จึงไม่กล้าออกมาจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาด
หนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ GDP ซึ่งถ้าหนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ตัวเลขดังกล่าวนี้น่าเป็นห่วงอย่างมากครับ เนื่องจากคนเหล่านี้ถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นฐานการจับจ่ายใช้สอยที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้ หรือที่เรียกง่ายๆว่ารายได้ไม่ค่อยพอกับรายจ่ายเท่าไร มีเท่าไรก็ใช้จ่ายเกือบหมดผิดกับผู้ที่มีรายได้สูง ดังนั้นเมื่อมีภาระหนี้ที่ต้องชำระก็ต้องลดรายจ่ายด้านอื่นๆลง ลดการบริโภคลง พอๆกับหนี้ที่ต้องชำระ และเสี่ยงที่จะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ได้
เหตุการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับที่ทางเวิลด์แบงก์ได้ปรับลดคาดการณ์เติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลดลงเหลือ 1.5% เท่านั้นซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากคาดการณ์ของ GDP ที่เราได้ยินหลังจากการยึดอำนาจใหม่ๆ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่เศรษฐกิจจะดีขึ้นหลังจากการยึดอำนาจจากประชาชน ยิ่งต่างชาติมีความกังขากับฝีมือของทีมเศรษฐกิจชุดนี้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะเหมือนครั้งที่เรามีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งคงเป็นไปได้ยากถึงยากมากๆครับ
(ที่มา)
https://www.facebook.com/themagicofmoney/photos/a.696824653723046.1073741829.692131110859067/745379575534220/?type=1&theate
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น