ถ้าอำนาจศาลเป็นอำนาจอิสระ ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีความผิดม.112 มีอำนาจอิสระจริงหรือไม่..?
วิญญูชน คนทั่วไปมีเหตุอันสมควรต่อการตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือ ที่ศาลจะหลุดพ้นจากอคติสี่ ในขณะที่มติหนึ่งมีนโยบายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ในอีกมติหนึ่งนั่งพิจารณาคดี, วินิจฉัย, พิพากษา ข้อพิพาทความผิดระหว่างผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 กับสถาบันพระมหากษัตริย์
โดยทางกฏหมาย นัยหนึ่งของการกระทำความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา
112 เป็นความผิดต่อความมั่นคง, ไม่ใช่ความผิดส่วนตัว,
เป็นความผิดระหว่างผู้ถูกกล่าวหากับรัฐ, ขบวนการยุติธรรมไทยถือนัยนี้ดำเนินคดีความกับผู้ถูกกล่าวหา
ในทางกลับกัน ถ้าพิจารณาอีกนัยหนึ่ง เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน
ความผิดฐานนี้ย่อมเป็นความผิดส่วนตัว การกล่าวถ้อยคำ ดูหมิ่น หรือสบประมาทตามความในมาตรานี้จึงเป็นเรื่องของศรัทธา
เป็นข้อพิพาทระหว่างผู้ถูกกล่าวหากับบุคคลในสถาบันพระมหากษัตริย์
อย่างไรก็ตามแม้ทั้งสองนัยเป็นการละเมิดสิทธิทางอาญา
แต่มีผลแตกต่างกัน นัยแรกเป็นความผิดอันไม่อาจยอมความได้ กำหนดโทษขั้นต่ำสามปี ขั้นสูงสิบห้าปี
ส่วนในนัยหลังเป็นความผิดอันยอมความได้ และมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกินหนึ่งหรือสองปี
โดยไม่มีโทษขั้นต่ำ
นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ความสุจริตของการกล่าวถ้อยคำ
หรือการกระทำอันถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่น[1]
เมื่อนำสองนัยมาเปรียบเทียบกัน,
ลักษณะการกระทำความผิดประเภทเดียวกัน (ถึงแม้จะใช้คำแตกต่างกัน), แต่เป็นความผิดต่างฐานต่างหมวดความผิด,
มีผลและโทษทางกฏหมายแตกต่างกัน ความเด่นชัดในเหตุที่แตกต่างกันเช่นนี้ก็คือ
ฐานะของผู้ถูกหมิ่น, ถูกประมาท, หรือถูกละเมิด, ประวัติศาสตร์ที่ขาดการกวาดล้างชำระบอกให้คนไทยโดยทั่วไปเชื่อโดยสุจริตว่า
บุคคลในฐานะหนึ่งควรได้รับการคุ้มครองพิเศษ แตกต่างออกไปจากฐานะของบุคคลธรรมดาอีกฐานะหนึ่ง
กล่าวตรงความหมายคือ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่เท่าเทียมกัน และนี่คือความเป็นมาของประมวลกฏหมายอาญามาตรา
112 โดยเฉพาะบทบัญญัติปัจจุบัน ผู้ประกาศใช้จงใจเจตนา
นำบทลงโทษมาเป็นเครื่องมือยืนยันถึง ความบกพร่องของการเขียนประวัติศาสตร์,
ความแตกต่างกันของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยชาติ, เป็นอคติความลำเอียง ขัดต่อหลักคุณธรรม-มนุษยธรรมทางกฏหมายอันมีมานับแต่แรก
ดังนั้น การกำหนดโทษบังคับต่อการที่ใครไม่ศรัทธาใคร โดยวิธีการการกำหราบปราบปราม
มีโทษขั้นต่ำสามปี และกำหนดโทษขั้นสูงถึงสิบห้าปี ไม่ว่าจะมองทางใด ย่อมเป็นเรื่องเกินเหตุ,
เกินสมควร, เกินความจำเป็น
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดประการหนึ่งในขบวนการศาลยุติธรรมไทย
แม้กฏหมายมาตรานี้เป็น ‘ผลไม้จากต้นไม้พิษ’[2] ศาลยุติธรรมซึ่งประกอบด้วยบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทางหลักการ,
ตัวบท, กฏหมาย นำมาซึ่งความยุติธรรม ตรงกันข้าม
กลับเป็นผู้ใช้กฏหมายมาตรานี้โดยปราศจากความรู้สึกผิดต่อคุณธรรมทางกฏหมาย
ดุลพินิจปฏิเสธการให้ประกันตัวผู้ต้องหาก็ดี, การพิจารณาเป็นความลับก็ดี,
หรือภาษาที่ใช้ในคำพิพากษาก็ดี[3]
บ่งชี้ถึงนโยบายที่ต้องกำหราบปราบปรามผู้กระทำความผิดชนิด ‘กำปั้นเหล็ก’
โดยปราศจากข้อเสนอแนะ, หรือปรับปรุงแก้ไข ให้กฏหมายมาตรานี้สอดคล้องเป็นไปตามหลักคุณธรรมทางกฏหมาย
เมื่อเหตุกระทบถึงสิทธิของศาลยุติธรรม
ศาลอ้างกฏหมายรัฐธรรมนูญ[4] แต่เมื่อยามกฏหมายรัฐธรรมนูญมีปัญหาเรื่องการจัดความสัมพันธ์
ระหว่างสิทธิของสถาบันพระมหากษัตริย์กับสิทธิของประชาชน
ศาลยุติธรรมวางตัวคลุมเคลือ ไม่ชัดเจน ต่ออำนาจอธิปไตยเป็นของใคร ควรมีกฏหมายหมายรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณาญาสิทธิราช
หรือควรมีกฏหมายรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตย ให้สิทธิเสียงประชาชน
เป็นผู้อำนาจอย่างแท้จริง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า
ประวัติความเป็นมาของขบวนการผู้พิพากษาตุลาการ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่นั่นเป็นอดีต อดีตที่ผู้พิพากษา ตุลาการ ใช้ความสัมพันธ์ลักษณะตัวการตัวแทน[5] ในการไต่สวน ทวนความ คดีความ
(อ่านต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น