บทเรียน การเมือง บทเรียน จาก"ผังล้มเจ้า" บาดแผล สังคมไทย
มติจากที่ประชุมร่วมพนักงานสอบสวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับ
ความมั่นคงแห่งรัฐ ว่าด้วยการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ
กับ พนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด
สั่งไม่ฟ้อง
สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ต่อบุคคล 39 ราย อันถูกกล่าวหาและพยายามยกระดับให้ขึ้นสู่สภาวะแห่วความเป็น "คดีพิเศษ"
หากแต่ต่อเกียรติภูมิและสถานะแห่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
เพราะ
คดีผังล้มเจ้ามีรากฐานมาจากข้อกล่าวหาอันเริ่มก่อนการรัฐประหารเดือนกันยายน
2549 และก่อรูปขึ้นอย่างเป็นระบบทั้งในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
สืบทอดและต่อเนื่องมายังรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เป็นเหตุผลสำคัญในการปลุกระดมและสร้างความชอบธรรมให้กับการขอคืนพื้นที่ในเดือนเมษายน 2553 การกระชับพื้นที่ในเดือนพฤษภาคม 2553
ส่งผลให้มีคนตายทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน 98 ศพ บาดเจ็บและพิการร่วม 2,000 คน ถูกจับกุมคุมขังเป็นจำนวนเกือบ 500 คน
เป็นบาดแผลของประเทศ
ต้อง
ยอมรับว่า คำสั่งอันนำไปสู่การสังหารประชาชนในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553
มีพื้นฐานและก่อรูปขึ้นจากการหยิบประเด็นมากล่าวหาในเรื่องหมิ่นพระบรมเด
ชานุภาพ กระทั่งเหิมเกริมถึงระดับคิดล้มเจ้า ล้มสถาบัน
ข้อกล่าวหา
ของพันธมิตรต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ การทำบุญที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ทำตัวเทียมองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
เหตุผล 1 ใน 4 ของการรัฐประหารคือ หมิ่นเหม่ต่อสถาบัน
อย่า
ได้แปลกใจ หากมีการรวมตัวกันของคนเสื้อแดงทั้งเมื่อเดือนเมษายน 2552
และเมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553
ข้อกล่าวหานี้ยิ่งได้รับการขยายอย่างมากด้วยสีสันอันเพริศแพร้วพรรณราย
เป็นเหตุผลสร้างความชอบธรรมในการใช้อาวุธสงครามสลายการชุมนุมเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2519
แต่เวลาผ่านมา 6 ปีแล้วเรื่องกลับโอละพ่อ
(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1334290055&grpid=01&catid=&subcatid=
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น