"เกษียร เตชะพีระ" ไฮ (ใครมั่งล่ะ) ฮิตเลอร์ (?)
"เกษียร เตชะพีระ" ไฮ (ใครมั่งล่ะ) ฮิตเลอร์ (?)
ร.7 จับมือกับฮิตเลอร์และปฎิเสธการปฏิรูป
เปิดปูมราชวงศ์
(คลิกอ่าน)
ในบทความ "Fascism Anyone?" ลงพิมพ์ในวารสาร
Free Inquiry ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 ประจำฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.2003 หน้า 20
(www.secularhumanism.org/index.php?section= library&page=britt_23_2), Dr. Lawrence W. Britt
นักรัฐศาสตร์ผู้ศึกษาระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ หลายประเทศได้แก่ระบอบของฮิตเลอร์ในเยอรมนี (ค.ศ.1933-45),
มุสโสลินีในอิตาลี (ค.ศ.1922-43), ฟรังโกในสเปน (ค.ศ.1939-75), ซูฮาร์โตในอินโดนีเซีย (ค.ศ.1967-98),
และปิโนเช่ต์ในชิลี (ค.ศ.1974-90) ได้ประมวลสรุปบุคลิกเอกลักษณ์ที่ระบอบฟาสซิสต์ต่างๆ เหล่านี้
มีร่วมกันไว้ 14 ประการ ได้แก่: -
1)
ชูชาตินิยมอย่างแข็งกร้าวและพร่ำเพรื่อ
ระบอบฟาสซิสต์มักพร่ำใช้คำขวัญ, วาทะ,
สัญลักษณ์, เพลงและวัสดุอุปกรณ์รักชาติอื่นๆ อย่างฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเสมอ
เอะอะก็ชักธงชาติติดธงชาติตะพึดตะพือตามตึกรามอาคารถนนหนทาง
ทุกหนแห่งไม่เว้นแม้แต่บนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
2)
เมินเฉยไม่นำพาสิทธิมนุษยชน
อารามตื่นกลัว "ศัตรู" และโหยหา "ความมั่นคง"
จนสิ้นสติ
ผู้คนพลเมืองในระบอบฟาสซิสต์จึงถูกชักจูงให้คล้อยตามท่านผู้นำว่าจำเป็นต้อง
ละเลยสิทธิมนุษยชนเสียในบางกรณีพวกเขามักทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือกระทั่ง
เห็นดีเห็นงามไปกับการทรมานผู้ต้องสงสัย,ใช้อำนาจปฏิวัติหรืออำนาจฉุกเฉิน
สั่งยิงเป้า,
ฆ่าตัดตอน, อุ้มหายสาบสูญ, ขังลืม ฯลฯ เอากับบรรดาผู้ถูกตรา หน้าว่าเป็น
"ศัตรู"
3) ปลุกผี "ศัตรู" ขึ้นมาเป็นแพะรับบาปเพื่อสร้างความสามัคคีบนพื้นฐานความเกลียด
กลัว
ปลุกระดมประชาชนให้สามัคคีกันคลั่งชาติเพื่อกำจัดผู้ที่ถูกถือว่าเป็น
"ศัตรู" หรือ "ภัยคุกคาม" ร่วมกัน ไม่ว่าเจ๊ก, แกว, แขก, คริสต์, มุสลิม, เสรีนิยม, คอมมิวนิสต์,
สังคมนิยม, ผู้ก่อการร้าย, พวกล้มเจ้า ฯลฯ
4)
ทหารเป็นใหญ่ในบ้านเมืองแม้ในยามบ้านเมืองอัตคัดขัดสนข้าวยากหมากแพง
ทหารยังคงได้สัดส่วนงบประมาณมาก เป็นพิเศษเหนือกิจการด้านอื่นๆ
ทหารหาญได้รับยกย่องสดุดีอย่างสูงยิ่ง
5)
กดขี่ทางเพศอย่างแพร่หลาย
รัฐบาลประเทศฟาสซิสต์มัก
ถูกครอบงำโดยผู้นำเพศชายแทบจะล้วนๆและยึดมั่นถือมั่นการแบ่งแยกบทบาทหน้าที่
ชาย/หญิงตามประเพณีอย่างเคร่งครัดตายตัวการหย่าร้าง
ทำแท้งและพฤติการณ์รักร่วมเพศจะถูกกดขี่ปราบปราม
รัฐถูกถือเป็นองครักษ์พิทักษ์สถาบันครอบครัวอย่างถึงที่สุด
6)
ปิดปากควบคุมสื่อมวลชน
บางครั้งรัฐบาลฟาสซิสต์จะเข้ากำกับควบคุมสื่อมวลชนโดยตรง
แต่บางทีก็ทำโดยอ้อมผ่าน กฎระเบียบราชการหรือผู้บริหารและกระบอกเสียงโฆษกที่ฝักใฝ่รัฐบาล
การเซ็นเซอร์ทำกันดกดื่น โดยเฉพาะในยามสงคราม (หรืออ้างว่ามี "สงคราม")
7) หมกมุ่นฝังหัวเรื่อง
"ความมั่นคงแห่งชาติ"
รัฐบาลฟาสซิสต์จะใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือสำคัญในการจูงจมูกมวลชนให้เชื่อฟังและสยบยอมตามภายใต้ข้ออ้างเรื่อง"ความมั่นคง"
8)
รัฐบาลพัวพันอีนุงตุงนังกับศาสนจักรรัฐบาลฟาสซิสต์
มักฉวยใช้ศาสนาหลักที่แพร่หลายในประเทศเป็นเครื่องมือหลอกล่อชักจูงมติมหาชน
ผู้นำรัฐบาลจะพร่ำพูดเรื่องศีลธรรมไม่ขาดปากเข้านมัสการพระชื่อดังไม่ขาดสาย
แต่กลับดำเนินนโยบายและมาตรการขัดทวนสวนทางหลักคำสอนศาสนาเป็นตรงกันข้าม
9)
ปกป้องอำนาจกลุ่มธุรกิจชนชั้นนำในวงการธุรกิจการ
เงินและอุตสาหกรรมมักเป็นตัวการหนุนหลังผู้นำรัฐบาลให้ขึ้นสู่อำนาจจึงผูก
สานเป็นสายใยสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อกันในหมู่ชนชั้นนำแห่งวงการธุรกิจ
กับรัฐบาล
10)
กดขี่ขบวนการแรงงาน
เนื่องจากแรงงานที่จัดตั้งกัน
เป็นสหภาพนับเป็นภัยคุกคามรัฐบาลฟาสซิสต์ที่แท้จริงเพียงพลังเดียวฉะนั้นถ้า
ไม่ถูกกวาดล้างจนเหี้ยนเตียนก็โดนปราบปรามกดดันจำกัดสิทธิเสรีภาพในการ
เคลื่อนไหวจัดตั้งอย่างหนัก
11)
ดูหมิ่นถิ่นแคลนปัญญาชนและศิลปวรรณกรรม
ระบอบ
ฟาสซิสต์มักส่งเสริมและปล่อยให้เกิดการต่อต้านเป็นปฏิปักษ์กับการศึกษาชั้น
สูงและแวดวงวิชาการอย่างเปิดเผยอาจารย์นักวิชาการจะถูกเซ็นเซอร์หรือแม้แต่
จับกุมเป็นปกติวิสัยเสรีภาพที่จะแสดงออกในทางศิลปวรรณกรรมถูกโจมตีโต้ง
ๆ
12)
ปราบปรามลงโทษอาชญากรรมด้วยอำนาจอาญาสิทธิ์
ภายใต้ระบอบฟาสซิสต์
ตำรวจได้รับอำนาจไร้ขีดจำกัดในการบังคับใช้กฎหมาย
ประชาชนมักยินดีทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเวลาตำรวจฉวยใช้อำนาจรังแกผู้คนหรือแม้แต่ละทิ้งสิทธิเสรีภาพของ
พลเมืองเพื่อเห็นแก่ชาติ บ่อยครั้งประเทศฟาสซิสต์จะอาศัยกองกำลังตำรวจระดับชาติที่มีอำนาจ
ไร้ขีดจำกัดในทางเป็นจริงไปรักษา "กฎหมายและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง"
13)
การเล่นพวกพ้องและทุจริตคอร์รัปชั่นแพร่ระบาด
แทบจะ
เป็นกฎเกณฑ์เลยว่าระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ทั้งหลายจะปกครองโดยกลุ่มพรรคพวก
เพื่อนพ้องที่เอื้อเฟื้อแต่งตั้งกันและกันไปกินตำแหน่งใหญ่โตในราชการแล้ว
ใช้อำนาจนั้นๆปกป้องกันและกันให้พ้นผิดตามหลัก"ไม่ฆ่าน้อง
ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน"
การฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยผู้นำรัฐบาลมีเป็นปกติธรรมดาในระบอบดังกล่าวเนื่อง
จากการขีดเส้นแบ่งนิยามว่าอะไรเป็นของหลวง/อะไรเป็นของกูและพวกพ้องกูนั้น
ดันไปขึ้นอยู่กับอำนาจสิทธิขาดของผู้นำ
14)
โกงเลือกตั้ง
บ่อยครั้งการเลือกตั้งในประเทศเผด็จการฟาสซิสต์เป็นตลกลวงโลกทั้งเพ
การจัดการเลือก ตั้งถูกฉ้อฉลบิดเบือนโดยการรณรงค์ให้ร้ายป้ายสีหรือกระทั่งลอบสังหารผู้สมัครฝ่ายค้าน,
ออกกฎหมายกำกับควบคุมจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ให้เป็นคุณแก่ตน,
ใช้สื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียงรัฐบาลฝ่ายเดียว,
และควบคุมชักเชิดกรรมการจัดเลือกตั้งและศาลตุลาการอยู่หลังฉาก
น่าสนใจจะลองทำตารางเช็กลิสต์เพื่อติ๊กดูนะครับว่ารัฐบาลชุดใด(ยิ่งลักษณ์? อภิสิทธิ์? สมชาย? สมัคร? สุรยุทธ์? ทักษิณ?) ส.ส.ท่านไหน (สมศักดิ์? บุญยอด?) ขบวนการการเมืองอะไร (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย?
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ? เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน?)
มีบุคลิกลักษณะเข้าข่ายเอกลักษณ์ฟาสซิสต์ 14 ประการข้างต้นข้อไหนบ้างไหมอย่างไร?
ละม้ายเหมือนหรือแตกต่างกันตรงไหน? และมากน้อยข้อกว่ากันเท่าใด โดยเปรียบเทียบ ฯลฯ?
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น