หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"เกษียร เตชะพีระ" ไฮ (ใครมั่งล่ะ) ฮิตเลอร์ (?)

"เกษียร เตชะพีระ" ไฮ (ใครมั่งล่ะ) ฮิตเลอร์ (?)


 

 

 

 

 

 

 

 

 

















ร.7 จับมือกับฮิตเลอร์และปฎิเสธการปฏิรูป

เปิดปูมราชวงศ์ 

(คลิกอ่าน)

 http://sanamluang2008.blogspot.com/2009/11/009019.html

 

ในบทความ "Fascism Anyone?" ลงพิมพ์ในวารสาร Free Inquiry ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 ประจำฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.2003 หน้า 20 (www.secularhumanism.org/index.php?section= library&page=britt_23_2), Dr. Lawrence W. Britt นักรัฐศาสตร์ผู้ศึกษาระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ หลายประเทศได้แก่ระบอบของฮิตเลอร์ในเยอรมนี (ค.ศ.1933-45), มุสโสลินีในอิตาลี (ค.ศ.1922-43), ฟรังโกในสเปน (ค.ศ.1939-75), ซูฮาร์โตในอินโดนีเซีย (ค.ศ.1967-98), และปิโนเช่ต์ในชิลี (ค.ศ.1974-90) ได้ประมวลสรุปบุคลิกเอกลักษณ์ที่ระบอบฟาสซิสต์ต่างๆ เหล่านี้ มีร่วมกันไว้ 14 ประการ ได้แก่: -

1) ชูชาตินิยมอย่างแข็งกร้าวและพร่ำเพรื่อ
ระบอบฟาสซิสต์มักพร่ำใช้คำขวัญ, วาทะ, สัญลักษณ์, เพลงและวัสดุอุปกรณ์รักชาติอื่นๆ อย่างฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเสมอ เอะอะก็ชักธงชาติติดธงชาติตะพึดตะพือตามตึกรามอาคารถนนหนทาง ทุกหนแห่งไม่เว้นแม้แต่บนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย

2) เมินเฉยไม่นำพาสิทธิมนุษยชน

อารามตื่นกลัว "ศัตรู" และโหยหา "ความมั่นคง" จนสิ้นสติ ผู้คนพลเมืองในระบอบฟาสซิสต์จึงถูกชักจูงให้คล้อยตามท่านผู้นำว่าจำเป็นต้อง ละเลยสิทธิมนุษยชนเสียในบางกรณีพวกเขามักทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือกระทั่ง เห็นดีเห็นงามไปกับการทรมานผู้ต้องสงสัย,ใช้อำนาจปฏิวัติหรืออำนาจฉุกเฉิน สั่งยิงเป้า, ฆ่าตัดตอน, อุ้มหายสาบสูญ, ขังลืม ฯลฯ เอากับบรรดาผู้ถูกตรา หน้าว่าเป็น "ศัตรู"

3) ปลุกผี "ศัตรู" ขึ้นมาเป็นแพะรับบาปเพื่อสร้างความสามัคคีบนพื้นฐานความเกลียด กลัว
ปลุกระดมประชาชนให้สามัคคีกันคลั่งชาติเพื่อกำจัดผู้ที่ถูกถือว่าเป็น "ศัตรู" หรือ "ภัยคุกคาม" ร่วมกัน ไม่ว่าเจ๊ก, แกว, แขก, คริสต์, มุสลิม, เสรีนิยม, คอมมิวนิสต์, สังคมนิยม, ผู้ก่อการร้าย, พวกล้มเจ้า ฯลฯ

4) ทหารเป็นใหญ่ในบ้านเมืองแม้ในยามบ้านเมืองอัตคัดขัดสนข้าวยากหมากแพง ทหารยังคงได้สัดส่วนงบประมาณมาก เป็นพิเศษเหนือกิจการด้านอื่นๆ ทหารหาญได้รับยกย่องสดุดีอย่างสูงยิ่ง

5) กดขี่ทางเพศอย่างแพร่หลาย
รัฐบาลประเทศฟาสซิสต์มัก ถูกครอบงำโดยผู้นำเพศชายแทบจะล้วนๆและยึดมั่นถือมั่นการแบ่งแยกบทบาทหน้าที่ ชาย/หญิงตามประเพณีอย่างเคร่งครัดตายตัวการหย่าร้าง ทำแท้งและพฤติการณ์รักร่วมเพศจะถูกกดขี่ปราบปราม รัฐถูกถือเป็นองครักษ์พิทักษ์สถาบันครอบครัวอย่างถึงที่สุด

6) ปิดปากควบคุมสื่อมวลชน
 

บางครั้งรัฐบาลฟาสซิสต์จะเข้ากำกับควบคุมสื่อมวลชนโดยตรง แต่บางทีก็ทำโดยอ้อมผ่าน กฎระเบียบราชการหรือผู้บริหารและกระบอกเสียงโฆษกที่ฝักใฝ่รัฐบาล การเซ็นเซอร์ทำกันดกดื่น โดยเฉพาะในยามสงคราม (หรืออ้างว่ามี "สงคราม")

7) หมกมุ่นฝังหัวเรื่อง "ความมั่นคงแห่งชาติ"
รัฐบาลฟาสซิสต์จะใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือสำคัญในการจูงจมูกมวลชนให้เชื่อฟังและสยบยอมตามภายใต้ข้ออ้างเรื่อง"ความมั่นคง"

8) รัฐบาลพัวพันอีนุงตุงนังกับศาสนจักรรัฐบาลฟาสซิสต์ มักฉวยใช้ศาสนาหลักที่แพร่หลายในประเทศเป็นเครื่องมือหลอกล่อชักจูงมติมหาชน ผู้นำรัฐบาลจะพร่ำพูดเรื่องศีลธรรมไม่ขาดปากเข้านมัสการพระชื่อดังไม่ขาดสาย แต่กลับดำเนินนโยบายและมาตรการขัดทวนสวนทางหลักคำสอนศาสนาเป็นตรงกันข้าม

9) ปกป้องอำนาจกลุ่มธุรกิจชนชั้นนำในวงการธุรกิจการ เงินและอุตสาหกรรมมักเป็นตัวการหนุนหลังผู้นำรัฐบาลให้ขึ้นสู่อำนาจจึงผูก สานเป็นสายใยสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อกันในหมู่ชนชั้นนำแห่งวงการธุรกิจ กับรัฐบาล

10) กดขี่ขบวนการแรงงาน
เนื่องจากแรงงานที่จัดตั้งกัน เป็นสหภาพนับเป็นภัยคุกคามรัฐบาลฟาสซิสต์ที่แท้จริงเพียงพลังเดียวฉะนั้นถ้า ไม่ถูกกวาดล้างจนเหี้ยนเตียนก็โดนปราบปรามกดดันจำกัดสิทธิเสรีภาพในการ เคลื่อนไหวจัดตั้งอย่างหนัก

11) ดูหมิ่นถิ่นแคลนปัญญาชนและศิลปวรรณกรรม
ระบอบ ฟาสซิสต์มักส่งเสริมและปล่อยให้เกิดการต่อต้านเป็นปฏิปักษ์กับการศึกษาชั้น สูงและแวดวงวิชาการอย่างเปิดเผยอาจารย์นักวิชาการจะถูกเซ็นเซอร์หรือแม้แต่ จับกุมเป็นปกติวิสัยเสรีภาพที่จะแสดงออกในทางศิลปวรรณกรรมถูกโจมตีโต้ง ๆ
 

12) ปราบปรามลงโทษอาชญากรรมด้วยอำนาจอาญาสิทธิ์
ภายใต้ระบอบฟาสซิสต์ ตำรวจได้รับอำนาจไร้ขีดจำกัดในการบังคับใช้กฎหมาย ประชาชนมักยินดีทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเวลาตำรวจฉวยใช้อำนาจรังแกผู้คนหรือแม้แต่ละทิ้งสิทธิเสรีภาพของ พลเมืองเพื่อเห็นแก่ชาติ บ่อยครั้งประเทศฟาสซิสต์จะอาศัยกองกำลังตำรวจระดับชาติที่มีอำนาจ ไร้ขีดจำกัดในทางเป็นจริงไปรักษา "กฎหมายและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง"

13) การเล่นพวกพ้องและทุจริตคอร์รัปชั่นแพร่ระบาด
แทบจะ เป็นกฎเกณฑ์เลยว่าระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ทั้งหลายจะปกครองโดยกลุ่มพรรคพวก เพื่อนพ้องที่เอื้อเฟื้อแต่งตั้งกันและกันไปกินตำแหน่งใหญ่โตในราชการแล้ว ใช้อำนาจนั้นๆปกป้องกันและกันให้พ้นผิดตามหลัก"ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน" การฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยผู้นำรัฐบาลมีเป็นปกติธรรมดาในระบอบดังกล่าวเนื่อง จากการขีดเส้นแบ่งนิยามว่าอะไรเป็นของหลวง/อะไรเป็นของกูและพวกพ้องกูนั้น ดันไปขึ้นอยู่กับอำนาจสิทธิขาดของผู้นำ

14) โกงเลือกตั้ง
บ่อยครั้งการเลือกตั้งในประเทศเผด็จการฟาสซิสต์เป็นตลกลวงโลกทั้งเพ การจัดการเลือก ตั้งถูกฉ้อฉลบิดเบือนโดยการรณรงค์ให้ร้ายป้ายสีหรือกระทั่งลอบสังหารผู้สมัครฝ่ายค้าน, ออกกฎหมายกำกับควบคุมจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ให้เป็นคุณแก่ตน, ใช้สื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียงรัฐบาลฝ่ายเดียว, และควบคุมชักเชิดกรรมการจัดเลือกตั้งและศาลตุลาการอยู่หลังฉาก

น่าสนใจจะลองทำตารางเช็กลิสต์เพื่อติ๊กดูนะครับว่ารัฐบาลชุดใด(ยิ่งลักษณ์? อภิสิทธิ์? สมชาย? สมัคร? สุรยุทธ์? ทักษิณ?) ส.ส.ท่านไหน (สมศักดิ์? บุญยอด?) ขบวนการการเมืองอะไร (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย? แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ? เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน?) มีบุคลิกลักษณะเข้าข่ายเอกลักษณ์ฟาสซิสต์ 14 ประการข้างต้นข้อไหนบ้างไหมอย่างไร? ละม้ายเหมือนหรือแตกต่างกันตรงไหน? และมากน้อยข้อกว่ากันเท่าใด โดย
เปรียบเทียบ ฯลฯ? 

 

(ที่มา)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336724278&grpid=01&catid&subcatid 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น